Jul 29, 2014

Kit Kat อบรสพุดดิ้ง

มีโอากาสได้ลองทำ Kit Kat อบรสพุดดิ้งกิน หลังจากได้เห็นมาสักพักแล้วก็สงสัยใคร่รู้ในรสชาติมาก


หน้าตาถุงเป็นแบบนี้ ในถุงจะมีคิทแคทขนาดมินิ 13ชิ้น ราคากี่เยนก็ไม่รู้ พี่สาวซื้อมาฝากจากญี่ปุ่น วิธีทำแสนง่าย แกะคิทแคทออกจากห่อ มาวางบนถาด หน้าตาเหมือนคิทแคททั่วๆไป แอบงงเล็กน้อยว่ามันจะอบได้หรือ


จากนั้นก็ตั้งอุณหภูมิเตาอบ 200องศา เปิดไฟบนไฟล่าง แล้วก็ใส่เตาอบซะ


รอประมาณ2นาทีก็จะเห็นด้านบนมันเริ่มเกรียมขึ้นๆ พอ2นาทีกว่าๆก็เอาออกจากเตาได้ ก็จะได้คิทแคทออกมาเหมือนที่โฆษณาไว้เลย หน้าตาเปลี่ยนไปมากจากตอนแกะออกจากห่อ



รสชาติพอกินแล้วก็แปลกดี มันก็ฟีลลิ่งช็อกโกแลตอะนะ แต่มันร้อนแล้วก็หวาน ฟีลลิ่งแบบว่าเนยมากอ่ะ อธิบายไม่ถูก โดยรวมก็ถือว่าโอเคนะ หวานไปหน่อยตามสไตล์ ถ้าเบื่อคิทแคทแบบช็อกโกแลตธรรมดา มาลองอันนี้ก็ไม่เสียหายอะไร

Jul 25, 2014

เตรียมตัวสอบ CU BEST

สำหรับใครก็ตามที่ตั้งใจจะเรียนต่อปริญญาโทMBAที่จุฬาฯ ล้วนแล้วต้องผ่านการสอบCU-BESTมาแล้วทั้งสิ้น โดยเฉพาะในหลักสูตร YMBA ที่จะขอพูดถึงในวันนี้



สำหรับหลักสูตร ymbaของที่นี่ ทำไมคะแนนCU BEST ถึงมีความหมายมาก ก็เพราะว่ามีผู้คนจำนวนมากต้องการเข้าเรียนในหลักสูตรนี้ ฉะนั้นวิธีการคัดคนเข้าสัมภาษณ์ในขั้นต้นก็เลยนำคะแนนCU BESTของผู้สมัครทั้งหมดมาเรียงลำดับ แล้วตัดจำนวนที่ต้องการเรียกเข้าสัมภาษณ์จากคะแนนสูงสุดลงไป ยกตัวอย่าง รุ่น21/1 (คือเป็นรุ่นปี57ล่าสุดนี่เอง ส่วนที่เป็น/1คือเรียนเสาร์-อาทิตย์ ถ้า/2คือเรียนวันธรรมดา) คะแนนCU BESTขั้นต่ำที่เรียกเข้าสัมภาษณ์คือ342คะแนน คือใครได้น้อยกว่านี้ก็จะไม่ถูกเรียกสัมภาษณ์ โดยจะเรียกสัมภาษณ์ประมาณร้อยกว่าคน และจะมีเพียง100คนที่ถูกเลือกให้เข้าเรียนymba ฉะนั้นคะแนนCU BESTจึงมีความสำคัญมากเป็นอันดับแรกสุด เพราะเป็นตัวชี้วัดว่าเราจะมีโอกาสได้เข้ามาเรียนymbaรึเปล่า

หมายเหตุ หลักสูตรอื่นๆที่ใช้คะแนนCU BESTจะไม่ได้ใช้คะแนนสูงเท่าหลักสูตรนี้


ข้อสอบCU BESTถือว่าเป็นข้อสอบที่วัดความสามารถทางการคำนวณและวิเคราะห์ที่(โหด)ดี เนื่องจากการให้คะแนนคือข้อไหนตอบถูกได้5คะแนน ผิดติดลบ2 ไม่ตอบได้0 ตอบเกิน1คำตอบติดลบ5 ฉะนั้นจึงไม่มีคำว่าเดาถูกได้(คะแนนสูง)มา เนื่องจากหากไม่มั่นใจจริงๆ และไม่ได้เป็นพวกชอบเสี่ยงขนาดนั้น ส่วนใหญ่ก็จะเลือกไม่ตอบคำตอบข้อนั้นจะดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่เสียคะแนนหากตอบผิด ต่างจากการสอบปกติที่บางทีเราเดามั่วๆ หรือเดาข้อที่โอกาสถูกสูง แล้วมันก็ดันถูกได้คะแนนง่ายๆซะอย่างนั้น

ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายที่ตั้งใจจะเข้าเรียนหลักสูตรymba chula แต่แล้วก็ต้องถอยไปเรียนที่อื่น หรือไปเรียนหลักสูตรอื่นแทน เนื่องจากไม่ได้เข้าง่ายขนาดนั้น แต่ก็ไม่ยากเกินความสามารถของมนุษย์แน่นอน อย่างเราใช้เวลาเตรียมตัวประมาณเดือนนึง ก็สอบได้เกือบ390คะแนนในการสอบครั้งแรก แน่นอนว่ามีคนได้เยอะกว่านี้ คะแนนเราอาจจะกลางๆแต่ก็ถือว่าน่าจะพอเพียงแล้วสำหรับการยื่นคะแนนเข้าเรียนymba ต่อไปนี้จะขอแชร์เทคนิคและประสบการณ์ส่วนตัว เผื่อจะมีประโยชน์ต่อใครบ้างไม่มากก็น้อย

เตรียมตัว
รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง
ข้อสอบCU BEST จะะแบ่งเป็น2พาร์ท พาร์ทแรกวิเคราะห์ พาร์ทที่สองเป็นคณิตศาสตร์ พาร์ทละ50ข้อ 

ก่อนอื่นเลยสิ่งที่ต้องทำคือซื้อหนังสือที่เป็นแนวข้อสอบมาลองทำหรือจะยืมตามห้องสมุดก็ได้ อย่างที่เราใช้คือของดร.กิตติ์ จิรติกุล เล่มนี้

อีกเล่มที่คิดว่าโอเค คล้ายๆกันเลย คือของ CU BEST Club แต่เราใช้เล่มเก่าที่ยังมีพาร์ทไอคิวอยู่ เล่มสีเขียวอันนี้อัพเดทใหม่

2เล่มนี้ถามว่าเหมือนกับข้อสอบจริงเลยมั้ยเราว่าไม่ แต่ถือเป็นแนวข้อสอบที่ดี ถ้าผ่าน2เล่มนี้ไปได้ ก็ไม่มีอะไรยากไปกว่านี้แล้ว คืออย่างน้อยๆก่อนไปสอบเราว่าควรทำข้อสอบสัก4ชุด(คือซื้อมาเล่มใดเล่มหนึ่ง)หรือให้ดีก็8ชุด(ซื้อทั้งสองเล่ม)จะชัวร์กว่า เริ่มต้นเลย ทำข้อสอบชุดแรก ควรจับเวลา3ชั่วโมงแล้วทำเสมือนสอบจริงๆเลย เพื่อจะได้รู้ว่าในแต่ละพาร์ทข้อสอบแนวๆไหน แล้วเรามีจุดอ่อนตรงไหน อะไรที่เราลืมแล้วต้องกลับไปทวนบ้าง ทำชุดแรกเสร็จก็ตรวจกับเฉลยดู แน่นอนในการทดสอบครั้งนี้คะแนนอาจจะกากหน่อยหากเราทิ้งร้างสิ่งเหล่านี้มานานจนลืม แต่ก็จะเห็นได้ว่าเราต้องกลับไปทวนตรงไหนบ้าง จากนั้นเก็บข้อสอบชุดที่เหลือไว้ก่อน แล้วก็กลับไปทบทวนของเก่าทั้งหมดที่เราไม่แม่นให้แม่นก่อน ค่อยกลับมาทำข้อสอบใหม่ต่อในชุดที่เหลือ

พาร์ทคณิตศาตร์
การทบทวนคณิตศาสตร์ของเก่า เราสามารถเสิร์ชหาในเน็ตได้ มีให้เรียนฟรีโหลดฟรีอยู่หลายเว็บมากมาย แต่ต้องระวังข้อสอบบางที่ที่ให้โหลดมาทำฟรี อาจจะมีการเฉลยผิด อันนี้ก็ต้องดูแหล่งที่มาด้วย เลือกนิดนึง ทุกหัวข้อที่เราไม่แม่น ต้องหาแบบฝึกหัดมาทำเยอะๆ อาจจะเริ่มจากง่ายๆเพื่อปูพื้นให้แน่น แล้วค่อยไปทำแบบที่ยากขึ้นๆ ทำแบบนี้ในทุกๆหัวข้อ อย่าเพิ่งท้อแท้ อย่าคิดว่าเสียเวลา อย่าขี้เกียจ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆอยู่แล้ว อยากได้คะแนนเยอะก็ต้องพยายามมากกว่าคนอื่น

สำหรับเราซึ่งมีเวลาเตรียมตัวก่อนการสอบประมาณเดือนนึง การทบทวนนี้เราใช้เวลาช่วงกลางคืน คืนละประมาณ3ชั่วโมง 4-5คืนต่อสัปดาห์ (เนื่องจากวันอื่นๆที่เหลือเราต้องเอาไปทบทวนอย่างอื่นแล้วก็มีคืนพักผ่อนด้วยเพื่อไม่ให้คร่ำเครียดเกินไป) อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้แล้วแต่การจัดสรรเวลาของแต่ละบุคคล จากนั้นเมื่อแม่นครบทุกหัวข้อที่ต้องใช้สอบแล้ว เราจึงหยิบข้อสอบชุดที่เหลือมาจับเวลาทำอีกทีละชุด แล้วเมื่อเจอข้อที่ผิดหรือข้อที่เราเว้นไม่ตอบ เราก็จะรีบไปทวนหัวข้อนั้นให้แม่นยิ่งขึ้น ก่อนจะไปจับเวลาทำข้อสอบชุดถัดๆไป ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะเริ่มทำข้อสอบได้คล่องขึ้น เร็วขึ้น และถูกมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

พาร์ทวิเคราะห์
ในส่วนของพาร์ทวิเคราะห์ ซึ่งเราได้คะแนนน้อยอย่างสม่ำเสมอในการทดลองทำข้อสอบ(ไม่ว่าจะกี่ชุดก็ตาม) ในส่วนนี้เราก็บอกไม่ได้เหมือนกันว่าทำยังไงคะแนนมันจะสูงได้เพราะเป็นพาร์ทที่ไม่ถนัด แต่หลังจากทดลองทำข้อสอบไปเรื่อยๆเราก็ค้นพบว่า ในส่วนของบทความยาวๆ (ซึ่งจะอยู่ประมาณ25ข้อหลังในพาร์ทวิเคราะห์) ข้อสอบมักจะง่ายและไม่ได้ต้องคิดวิเคราะห์อะไรมากมาย คำถามที่ถามก็มีคำตอบอยู่ในบทความชัดเจน ในขณะที่ข้อแรกๆมักจะเป็นบทความสั้นๆ แต่บางทีเราก็วิเคราะห์ผิดทาง ตอบผิดได้คะแนนติดลบเป็นส่วนมาก เลยพยายามไม่ตอบถ้ารู้สึกไม่มั่นใจ

หาจุดอ่อน จุดแข็งตัวเรา แล้ววางแผนการทำข้อสอบ
หลังจากทดลองทำข้อสอบไปเรื่อยๆแล้ว เราก็จะรู้จักตัวเองว่าเราถนัดอะไรมากกว่ากัน หากมั่นใจเลขมากกว่าก็จงทำพาร์ทคณิตศาสตร์ก่อนเสมอ หากมั่นใจพาร์ทวิเคราะห์ ก็ควรทำพาร์ทวิเคราะห์ก่อน เพื่อเก็บคะแนนให้ได้มากที่สุดในส่วนที่ถนัด ควรจะทำแบบนี้ให้ชินตั้งแต่ตอนลองทำชุดข้อสอบที่บ้านเลย วันสอบจริงจะได้ชินมือว่าจะเปิดไปทำตรงไหนก่อนหลัง ส่วนตัวเราถนัดทำเลขก่อน เนื่องจากเรามองว่าวิชาเลขนั้น คำตอบที่ถูกต้องจะมีแค่คำตอบเดียวเสมอ ฉะนั้นหากวิธีคิดถูกต้อง คำตอบก็ย่อมถูกอย่างแน่นอน และหลังจากจบการทำพาร์ทนี้ เรามักจะดูเวลา กะคร่าวๆคือใช้ไม่ให้เกินชั่วโมงครึ่ง แต่ในวันสอบจริงเราใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ เลยมีเวลาเหลือเกือบสองชั่วโมงสำหรับพาร์ทวิเคราะห์ที่เราไม่ถนัดเท่าไร สงสัยเพราะให้เวลากับมันเต็มที่ ผลออกมาเลยคะแนนดีกว่าพาร์ทเลขแฮะ

ส่วนที่เป็นเลข ข้อไหนดูแล้วรู้สึกเลยว่าเสียเวลาคิดคำนวณนานเกินกว่า1นาทีแน่ๆ ให้ข้ามไปเลย อย่าเสียเวลา ไว้กลับมาทำทีหลังดีกว่าถ้ามีเวลาเหลือ ข้อไหนที่คิดออกมาแล้วไม่มีคำตอบ ลองอ่านโจทย์ดีๆ บางทีดูตัวเลขผิดไป แทนค่าผิด หรือลองดูวิธีทำของตัวเองคร่าวๆอีกรอบว่าใส่ตัวเลขตรงไหนผิดไปมั้ย ถ้าไม่ผิด ก็ข้ามไปก่อน อย่าไปเลือกข้อที่คำตอบใกล้เคียง เพราะอาจจะไม่ถูกต้องแล้วจะเพิ่มคะแนนติดลบไปเปล่าๆ แต่สิ่งที่ต้องระวังที่สุดในพาร์ทเลขคือ เมื่อทำแล้วจะรู้สึกว่าทำได้ มีคำตอบ แต่จริงๆแล้วโดนหลอก ก็จะติดลบคะแนนไปตามระเบียบ จะระวังการโดนหลอกยังไง ก็ได้ด้วยก็คือการทำแบบฝึกหัดบ่อยๆ โดนหลอกบ่อยๆ ก็จะรู้เองว่าโจทย์แบบไหนที่ตั้งใจมาหลอกเรา

พาร์ทวิเคราะห์ ถ้าอ่านดูแล้วรู้สึกว่าไม่มั่นใจว่าคำตอบไหนแน่ๆ ปล่อยว่างไปเลยดีกว่า อย่าฝืนตอบ แต่ข้อไหนมั่นใจชัวร์ๆ ค่อยตอบ อย่ามั่วเด็ดขาด การมั่ว การเดา การคิดไปเอง คือหนทางแห่งหายนะ ง่ายๆคือถ้าเมื่อไรก็ตามที่เราเลือกคำตอบไปแล้วว่าจะตอบอันนี้แต่ใจลึกๆเราแอบลังเล หรือฝนคำตอบไปแล้วรู้สึกกังวลใจ ให้กลับไปลบทิ้งดีกว่า "ไม่มั่นใจอย่าตอบ" ที่สำคัญอย่าเพิ่งคิดว่าไม่ถนัดวิเคราะห์แล้วจะทำได้ไม่ดี เพราะเราก็ไม่ถนัดเลย ตอนทดลองทำข้อสอบออกมาก็ได้คะแนนประมาณร้อยกว่าตลอด สอบจริงได้ประมาณ2ร้อยนิดๆ โดยเราเลือกทำบทความยาวๆก่อนเสมอ เพราะส่วนตัวเราคิดว่าทำคะแนนได้ง่ายกว่าบทความสั้นๆ ซึ่งมักจะหลอกให้เรางงและตอบผิดบ่อยๆ

สมาธิสั้นก็เป็นอีกสาเหตุของเราที่ทำให้ตอนเราทดลองสอบ ทำข้อสอบแล้วไม่ค่อยมีสมาธิต่อเนื่องยาวๆ ทำแล้วก็คิดเรื่องนู้นนี่ ใจไม่จดจ่อกับบทความเลยอ่านไม่รู้เรื่อง ทำเลขแล้วก็ไปคิดเรื่องอื่นกลับมาทำต่อก็มึนงง เสียเวลาไปฟรีๆ บางครั้งเราเลยแยกการสอบเป็นวันละชั่วโมงครึ่ง2วันติดกันแทนที่จะยาว3ชั่วโมงรวด แต่เราว่าวิธีแยกแบบนี้ไม่เวิคอย่างยิ่ง เพราะถึงเวลาจริง เราก็ต้องทำข้อสอบติดกัน3ชั่วโมงอยู่ดี วิธีฝึกสมาธิง่ายๆของเราคือการสวดมนต์ ไม่ได้เยอะอะไรมาก ตอนเช้าถ้ามีเวลาเราก็สวดมนต์ทำวัตรเช้าก่อนไปทำงาน หรือตอนเย็นกลับมาบ้านถ้ามีเวลาก็สวดมนต์ทำวัตรเย็น ใช้เวลาวันละนิด ไม่น่าเชื่อว่าสมาธิเราดีขึ้นมาก ตอนนี้แม้ไม่ได้สอบแล้วเราก็ยังสวดต่อ

ก่อนวันสอบจริง
ช่วง2-3วันก่อนสอบเราจะพักสมอง คือไม่ทำข้อสอบไม่ทวนไม่อะไรแล้ว(แต่ก็ทวนจบหมดแล้วนะ) เอาเวลาไปนั่งอ่านหนังสืออ่านเล่นบ้าง ดูหนังบ้าง อ่านการ์ตูนบ้าง คุยกับเพื่อนบ้าง เนื่องจากเราเชื่อว่าวิชาเลขมันเป็นอะไรที่ใช้ความเข้าใจอยู่แล้ว ไม่ต้องท่องจำอะไร ปล่อยให้สมองได้พักก่อนเจอศึกหนักบ้างดีกว่า

คืนวันก่อนสอบ
เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในห้องสอบให้พร้อม
1.ปากกา ใช้เขียนชื่อในกระดาษคำตอบ และไว้เซ็นชื่อ
2.ดินสอกดแบบ2B ใส่ไส้สำรองไว้ให้เรียบร้อย เผื่อว่าไส้ดินสอหมดจะได้ไม่ต้องมานั่งใส่ให้เสียเวลา
3.ยางลบ
4.บัตรประชาชน
5.เสื้อกันหนาว (ถ้าขี้หนาวก็มีไว้ดีกว่าไม่มี)
6.เตรียมชุดสุภาพที่จะใส่ไปให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องมาหาตอนเช้าให้เสียเวลา
แล้วนอนแต่หัวค่ำเพื่อจะได้มีพลังเต็มที่ในวันสอบ

วันสอบ
- ควรกินข้าวเช้าให้พอเหมาะ อย่าน้อยเกินไปเดี๋ยวจะหิวตอนสอบ อย่ากินพวกที่เสี่ยงต่อการท้องเสีย
- ควรหาเวลาว่างสัก15นาทีในที่เงียบๆและขณะสมองปลอดโปร่ง เอาshort noteมาทวนสักรอบนึง ไม่ว่าจะในส่วนของสูตรคำนวณ หรือหลักการอ่านพวกบทความ สมมติฐาน บทสรุป ตั้งชื่อเรื่อง ฯลฯ
- อย่าฟังเพลงแม้ตอนอาบน้ำหรือขับรถ คือถ้าเราฟังเพลงอะไรไปสักพักแล้วเพลงบางท่อนมันจะชอบหลอนในหัวเราไปอีกสักพักใหญ่ๆ ทำให้เช้าวันสอบเราเลยบังคับตัวเองให้ฟังดนตรีคลาสสิคอย่างเดียว พวกโมซาร์ท, เซอร์เก รัคมานินอฟ อะไรแบบนี้จะไม่ส่งผลหลอนในหัวเรา
- ไปให้ถึงก่อนสอบสักครึ่งชั่วโมงอย่างน้อย เผื่อเวลาดีกว่าไปสาย โดยเฉพาะผู้ที่เอารถไป เพราะทุกคนก็แห่ไปแย่งกันจอดรถที่จามจุรีสแควร์ ขากลับก็แย่งกันออก
- พกทิชชู่ไปด้วย ห้องน้ำบนตึกไม่มีทิชชู่ให้ (ตึกมหิตลาธิเบศร์) ห้องน้ำผู้หญิงคิวยาวมาก และหลังเข้าห้องน้ำแล้วไม่ควรกินน้ำเยอะ สอบเสร็จค่อยกิน
- กระเป๋าของทุกคน จนท.จะให้วางหน้าห้อง ฉะนั้นอย่าพกของมีค่าไป อย่าลืมเอาบัตรประชาชนไปที่โต๊ะสอบด้วย
- นาฬิกาในห้องสอบมีบอกที่สไลด์ใหญ่หน้าห้อง แต่ใส่นาฬิกาไปด้วยเพื่อความชัวร์ดีกว่า
- อย่าไปสนใจคนอื่นรอบข้างหรือเสียงอะไรก็ตาม สนใจแต่ข้อสอบตรงหน้าและอยู่กับมันจนจบ3ชั่วโมงก็พอ
- แม้ว่าจะเหลือเวลาแค่1นาทีก็อย่าตื่นเต้น ทำใจสบายๆลองอ่านข้อสอบดีๆ เพราะว่า1นาทีสุดท้ายของเราตอบได้อีก2ข้อเลยทีเดียว (เป็น2ข้อที่ค่อนข้างมั่นใจว่าถูก และเป็นการกลับมาอ่านข้อเก่าที่ข้ามไปทีแรก)
- อย่าหลงเชื่อจนท.ที่บอกว่าจะหมดเวลาแล้วให้รีบกาข้อสอบให้หมด เราคิดว่าจนท.ไม่รู้ว่ามันมีติดลบคะแนนด้วย

ขอให้ทุกคนโชคดี

Jul 18, 2014

เพื่อน ความรัก มิตรภาพ

ครั้งหนึ่งเราได้เคยตอบคำถามว่า เพื่อนมีไว้ทำไม อย่างสวยๆว่า

มีไว้อยู่ข้างๆเวลามันไม่มีใคร
มีไว้ฟังเวลามันอยากเล่าอะไรให้ใครสักคนฟัง
มีไว้เตือนให้อยู่ในร่องในรอยเวลาที่มันจะทำอะไรผิดๆ
มีไว้ให้อภัยเวลาที่มันทำร้ายจิตใจเราโดยไม่ได้ตั้งใจ
มีไว้เชื่อมั่นในตัวมันเวลาที่ไม่เหลือใครบนโลกเชื่ออะไรมันอีกแล้ว

ขออนุญาตเรียกเพื่อนว่า"มัน"เพื่อแสดงความสัมพันธ์ที่แนบแน่น

ที่เราตอบเอาไว้แบบนี้ เพราะในชีวิตของเรา เราได้มีโอกาสเจอเพื่อนเหล่านี้มาแล้วจริงๆ แล้วเพื่อนเหล่านี้ก็ได้ทำสิ่งที่มีค่าและได้ให้ความหมายจริงๆของคำว่าเพื่อนกับคนที่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลยอย่างเรา ขอเล่าถึงเพื่ิอนคนนึงของเรา

"มีไว้เชื่อมั่นในตัวมันเวลาที่ไม่เหลือใครบนโลกเชื่ออะไรมันอีกแล้ว"
เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เป็นเพื่อนที่มีดีที่หน้าตา เธอทำให้เรารู้ว่าคนเราบางคนไม่ได้แค่หน้าตาดีเท่านั้นแต่จิตใจก็งดงามไม่แพ้เปลือกที่ห่อหุ้มตัวเธอ

วันนั้นเราพลาดพลั้งทำผิดพลาดครั้งใหญ่ในงานพรีเซนท์งานหนึ่งซึ่งเป็นส่วนที่เรารับผิดชอบเป็นหลัก แม้ว่าจะพยายามทำมาอย่างตั้งใจแค่ไหนแต่สุดท้ายผลมันกลับเละไม่มีชิ้นดี อาจารย์ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของงานชิ้นนี้ซึ่งเราก็ต้องยอมรับว่างานมันไม่ผ่านจริงๆ เราทำให้เพื่อนทั้งกลุ่มต้องพลอยรับเคราะห์ไปด้วย หลังจบคลาส เกือบทุกคนในกลุ่มมองเราด้วยความผิดหวัง แถมยังทำให้ต้องโดนอาจารย์ว่า และดูจะไม่เชื่ออะไรในตัวเราอีก ทุกคนก็คุยๆกันว่าจะเอางานไปแก้ไขกันยังไงดี แต่เราต้องการโอกาสครั้งที่สอง เราอยากขอเป็นคนแก้ไขงานนี้ทั้งหมดเอง เราอยากรับผิดชอบสิ่งที่เราทำผิดไว้ ไม่มีใครสนใจเพราะกลัวว่าเราจะทำพลาดอีกแล้วคะแนนอาจจะย่ำแย่ไปกว่านี้ เราเสียใจมาก เราท้อแท้ รู้สึกว่าตัวเราเป็นคนไร้ค่า ได้แต่เป็นสาเหตุให้ทุกคนต้องโดนว่า ..

แต่แล้วก็มีเพื่อนเราคนหนึ่ง เป็นคนเดียวในกลุ่มงานนี้ที่บอกกับเราว่า "เธอเอางานไปแก้ให้เต็มที่ได้เลย เรารู้ว่าเธอทำได้ เราเชื่อมั่นในตัวเธอ เราเข้าใจความรู้สึกเธอตอนนี้ ไม่ต้องโทษตัวเองแล้ว ถ้าเธออยากเป็นคนขอแก้ไขทั้งหมด เรายินดี อย่าคิดมากไปเลย เราเชื่อว่าเธอทำได้ดีแน่นอน"
-คำว่า"เธอ"ในประโยคนี้คือชื่อของเรา

เหตุการณ์นี้ผ่านมาก็นานมากพอสมควรแล้ว แต่ในความทรงจำของเราไม่เคยลืมเรื่องนี้เลย เป็นเรื่องดีๆที่คิดถึงแล้วก็ซาบซึ้งใจ ทุกวันนี้เรายังสงสัยว่าเราได้เคยทำอะไรไว้ถึงได้เชื่อในตัวเราขนาดนี้ เพราะนอกจากเหตุการณ์นี้แล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเพื่อนคนนี้เชื่อในตัวเราตลอด เชื่อในความสามารถของเรา ศรัทธาในตัวเรา พูดได้ว่าในชีวิตของเราถ้าไม่มีเพื่อนคนนี้ วันนี้เราก็อาจจะไม่ได้เป็นเราที่เป็นแบบตอนนี้ก็ได้ อาจจะเป็นเรื่องเล็กๆของเพื่อนของเราที่ทำไว้ แต่เป็นสิ่งที่มีความหมายมากมายและยิ่งใหญ่มากสำหรับเรา

เธอคงไม่รู้ว่าเธอได้ทำให้คนนิสัยเลวๆคนนึงอยากเป็นคนดีเหมือนกับเธอ
ขอบคุณที่ทำให้เรารู้สึกว่ามียังมีคนเชื่อในตัวเราอยู่ในวันที่เรารู้สึกว่าเราไม่เหลืออะไรให้เชื่ออีกแล้ว
ขอบคุณที่ให้โอกาสนั้นอย่างไม่มีเงื่อนไข
ขอบคุณที่ได้ทิ้งความหมายและคุณค่าของคำว่าเพื่อนไว้ให้เรา

Jul 8, 2014

SOUTH OF THE BORDER, WEST OF THE SUN


SOUTH OF THE BORDER, WEST OF THE SUN หรือชื่อไทยคือ การปรากฏตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก เป็นหนังสืออีกเล่มของฮารุกิ มุราคามิที่เราคิดว่าอ่านง่ายมาก (บางเล่มยากไปสำหรับเรา อ่านแล้วงง) อ่านแล้วรู้สึกว่าเหมือนกำลังอ่านบทกวีมากกว่าจะเป็นนิยายเรื่องหนึ่ง ใช้ภาษาได้ดีมาก บทสนทนาหลายๆอันโต้ตอบกันเหมือนการดวลกลอนกันอยู่ คือไม่ใช่ว่ามีสัมผัสคล้องจองกันเป๊ะๆอะไรแบบนั้น แต่ให้อารมณ์ประมาณว่านักปรัชญาสองคนพูดโต้ตอบกันมากกว่า

และแม้ว่าจะมีอะไรบางอย่างที่ไม่ได้ถูกเฉลยให้แจ่มแจ้งเหมือนกับหนังสือเรื่องอื่นๆทั่วๆไป แต่ในชีวิตจริงของคนเรามันก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่หรอ..

เรื่องบางเรื่องเราไม่เคยได้รับรู้ความจริงแม้กระทั่งเราได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว ..
เรื่องบางเรื่องเราไม่เคยรู้ที่มาที่ไปของมัน เราตัดสินมันจากสิ่งที่เรารับรู้ และบางครั้งการรับรู้อันนั้นมันก็ผิดจากความจริงไปมาก ..
เรื่องบางเรื่องกับคนบางคน เราไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้อธิบายความจริงให้เค้าได้รับรู้ด้วยซ้ำ ..

ทุกคนต่างก็มีความทรงจำในอดีตที่อยากเก็บไว้หากเป็นความทรงจำที่ดี
(และอยากลืมหากเป็นความทรงจำที่เจ็บปวด)

แล้วถ้าหากคนในความทรงจำของเราปรากฏขึ้นข้างหน้าเรา เราจะทำยังไงกับโอกาสอีกครั้งของเรา ซึ่งอาจจะเป็นโอกาสครั้งสุดท้ายในชีวิต


"สักพักหนึ่ง เป็นวลีที่ไม่อาจวัดความยาวนานได้ อย่างน้อยก็สำหรับคนที่รอคอย"