Jun 24, 2014

We - We Japanese Edutainment School

สำหรับภาษาญี่ปุ่นและการเรียนภาษาต่างๆนั้น เราคิดว่าหากมีความขยันหมั่นเพียรอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้เรามีพัฒนาการด้านภาษามากยิ่งๆขึ้นไปได้ไม่ยากนัก ซึ่งส่วนใหญ่คนมักจะแพ้จิตใจอันไม่แน่วแน่ของตัวเอง เลยล้มเลิกกลางคันกันเสียมาก แต่หลายๆคนก็สู้กับความท้อแท้ใจ ความขี้เกียจเหล่านั้นจนไปถึงฝั่งฝัน

ความขยันหมั่นเพียรที่ต้องทำเป็นกิจวัตร เช่นการท่องศัพท์คำใหม่ๆเพิ่มขึ้นทุกๆวัน การทบทวนคำศัพท์เก่าๆ(จะได้ไม่ลืม) การคัดคันจิทุกๆวัน(ได้ทั้งศัพท์ได้ทั้งการอ่านที่ถูกต้อง) การหัดแต่งประโยคบ่อยๆ(เพื่อทบทวนแกรมม่าที่เคยเรียนมา) การซ้อมบทพูดซ้ำๆจนชินปาก(ควรฟังต้นฉบับญี่ปุ่นประกอบด้วยเพื่อสำเนียงจะได้เหมือนเจ้าของภาษา) จนสามารถพูดตอบโต้ได้ทันทีไม่ต้องคิดรูปประโยค หรือแม้แต่การดูอะนิเมะบ่อยๆเพื่อจะได้พัฒนาทักษะการฟัง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนด้วยตัวเองที่บ้านได้เมื่อเราแบ่งเวลาให้มันทุกๆวัน

อันนี้เรื่องส่วนตัว ข้ามไปได้เลย
สำหรับเรา ในอดีตเคยอ่านมินนะเล่ม3(6บทหลัง)และเล่ม4เองและก็ไปสอบผ่านN4แบบชิวๆ (คือถ้าจำศัพท์ในมินนะ4เล่มได้หมด การไปสอบN4แทบจะไม่มีคำศัพท์คำไหนแปลไม่ออก) เลยคิดเอาเองว่าการเรียนตามสถาบันต่างๆไม่จำเป็นอีกต่อไป นอกจากจะเรียนเพื่อเป็นการเสริมทักษะที่ขาดเท่านั้น ทีนี้พอเริ่มอ่านส่วนที่เป็นแกรมม่าเองเพื่อจะไปสอบN3 พบว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด อาจจะเพราะหนังสือที่เรามี ดีไม่พอ หรืออาจจะเพราะเราเองที่เข้าใจอะไรยาก หลังจากได้อ่านหนังสือเองจนท้อแท้ใจว่าเราคงไม่สามารถไปต่อได้ ก็เลยหยุดการอ่านการทบทวนทุกอย่างที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นเป็นเวลา4เดือนเต็มๆ(ดูแต่อะนิเมะอย่างเดียว) เพราะคิดว่าเราคงมาได้เท่านี้จริงๆ

จนวันนึงเราก็มาคิดดูว่า ถ้าเราอ่านเองไม่รู้เรื่อง ก็หาที่เรียนแต่แกรมม่าดีกว่ามั้ย เพราะว่าในส่วนอื่นๆ(เช่น ศัพท์ คันจิ บทสนทนา ฟัง) เราคิดว่าเราพอจะทบทวนด้วยตัวเองไหวและพอจะจัดสรรเวลาในทุกๆวันได้ เหตุที่เราไม่อยากกลับไปเรียนทักษะครบทุกด้านเหมือนสมัยเรียนสสท. เพราะเราคิดว่ามันช้าไปสำหรับเรา กว่าจะจบหลักสูตรล่อกันไปเป็นปีครึ่ง-2ปี (สำหรับหลักสูตรจากระดับN4ไปN3) ซึ่งมันอาจจะเหมาะสำหรับคนที่อยากจะค่อยๆไป+วันธรรมดาไม่ค่อยมีเวลาทบทวนมากกว่า

เข้าเรื่องโรงเรียนสอนภาษาweตรงนี้
แล้วเราก็ได้มาเจอสถานบันสอนภาษาญี่ปุ่นที่เรากำลังหาอยู่ คือสอนแกรมม่าล้วนๆ ไม่ต้องรอเปิดคอร์สให้วุ่นวาย เพราะเรียนผ่านระบบ sa-mu-ra-i ของโรงเรียน(เหมือนเปิดแผ่นเอา) ซึ่งสามารถไปเรียนที่สถาบัน หรือจะเลือกจ่ายเพิ่มอีก1พันบาทแต่สามารถเปิดเรียนจากคอมฯที่บ้านได้เลยไม่ต้องมาที่สถาบัน

นั่นก็คือโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นwe http://www.we-jpschool.com/
หมายเหตุ : ที่โรงเรียนก็มีเปิดคอร์สสอนสดแบบครบทุกทักษะเหมือนกับโรงเรียนทั่วๆไปด้วย แต่ส่วนตัวไม่เคยเรียนสด ฉะนั้นในที่นี้จะขอพูดถึงแค่การเรียนผ่านระบบsa-mu-ra-i@homeเป็นหลัก

การเดินทาง
จะมีสาขาอยู่3สาขาหลักๆ คือ บางกะปิ วงเวียนใหญ่ และอนุสาวรีย์ แต่สาขาที่เราไปสมัครเรียนคือวงเวียนใหญ่ อยู่ชั้น1 อาคารM Place ถ้านั่งBTSมาลงสถานีวงเวียนใหญ่แล้วเดินมาก็ได้ แต่ไกลโคตร ควรต่อรถสาธารณะอื่นๆมาจะดีกว่า สำหรับผู้ที่เอารถมา ใต้ตึกมีที่จอด(ที่ดูๆแล้วเหมือนจอดได้ไม่กี่สิบคัน) แต่อัตราค่าจอดรถเป็นยังไงไม่แน่ใจ เพราะตอนไปสมัครเรียนจอดไว้ด้านนอกตึก สำหรับผู้เรียนผ่านระบบsa-mu-ra-i@home ก็คือมาแค่วันสมัครเรียนหรือใช้วิธีโอนเงินแต่ว่าก็ต้องมารับหนังสือที่สถาบันอยู่ดี จากนั้นก็เปิดดูจากที่บ้านได้เลย สะดวกมากไม่ต้องเสียเวลาเดินทางด้วย

หากเรียนผ่านระบบsa-mu-ra-i@we ก็คือเรียนเปิดแผ่นเหมือนกันกับเรียนที่บ้านเลยแต่มานั่งเรียนที่weตามแต่สาขาที่เราสมัครไว้ (อาจจะต้องจองเวลาก่อนเข้าไปเรียนด้วย เพราะคอมฯมีจำนวนจำกัด) ส่วนการสอนสดจะมีแค่ที่สาขาอนุสาวรีย์เท่านั้น




การสมัครเรียน
จริงๆตอนแรกเราตั้งใจจะไปลองเรียนฟรีดูก่อนว่าไอ้ระบบsa-mu-ra-iเนี่ยมันเป็นยังไง แล้วอาจารย์ที่สอน สอนโอเคมั้ย พอไปทดลองเรียนเสร็จเราคิดว่าโอเค เป็นอะไรที่เราหาอยู่พอดี ก็สมัครเรียนแล้วก็โอนเงินผ่านมือถือที่เคาเตอร์สมัครเรียนเลย (เค้าไม่มีให้จ่ายสดต้องโอนเท่านั้น) ถ้าโอนวันอื่น เราต้องมารับหนังสือที่สถาบันอีกรอบ เราขี้เกียจมาหลายที เลยจ่ายให้จบๆไป แล้ววันถัดไปเราก็สามารถลงโปรแกรมของสถาบัน ล็อกอินจากคอมฯที่บ้านแล้วเริ่มเรียนได้เลย

พนักงานที่สาขาวงเวียนใหญ่ที่เราไปใช้บริการสมัครเรียน พูดจาดีมากให้บริการดีมาก ดีกว่าทุกโรงเรียนที่เคยสอบถามข้อมูลมา ต้องขอชมว่าเค้าเทรนมาดี

คอร์สเรียน
คอร์สของเราที่สมัครไว้เป็นคอร์สเตรียมสอบJLPT ส่วนใหญ่เนื้อหาที่เรียนจึงเป็นแกรมม่าล้วนๆ แต่ก็มีสอนคำศัพท์ การอ่าน คันจิ และฟังด้วย แต่เน้นแกรมม่าเป็นหลัก เวลาเรียนที่บ้านก็เหมือนเรียนในห้องจริงๆเลยคือเปิดหนังสือเรียนตามบทแล้วก็มีสมุดจด1เล่ม (จดเยอะมาก) เวลาอาจารย์ให้ทำแบบฝึกหัด เราก็ทำ ถ้าทำไม่ทันอาจารย์กำลังจะเฉลยก็กดหยุดไปก่อนทำเสร็จค่อยplayต่อ อันไหนฟังไม่ทันจดไม่ทันก็กดย้อนกลับไปฟังใหม่จดใหม่ อันไหนจะเรียนซ้ำก็เปิดเรียนซ้ำได้

เนื่องจากต้นฉบับที่เราดูๆก็อัดมาจากคอร์สที่อาจารย์สอนสด ฉะนั้นใน1ครั้งการเรียน (ประมาณ3ชั่วโมง) ก็จะแบ่งเป็น2disc เราก็เปิดเรียนเรียงไปเรื่อยๆ อันไหนที่เราเปิดขึ้นมาเรียน จะมีอายุ7วัน หลังจากนั้นจะเปิดดูไม่ได้อีก ในส่วนนี้เราเข้าใจว่าเค้าต้องทำมาไว้กันพวกที่จะเรียนคอร์สเดียวกันแต่ฉลาดซื้อคอร์สแค่คนเดียว แล้วคอมฯก็มาแบ่งกันใช้ประมาณนี้

แต่ว่าสมมติเราอยากจะกลับไปเรียนอันเก่าๆที่มันหมดอายุ7วันไปแล้ว มันก็มีเครดิตอยู่ประมาณ28เครดิตซึ่งเราสามารถใช้ได้ 1เครดิตก็จะให้อายุใหม่7วันกับอันที่เราเคยเปิดดูและหมดอายุไปแล้ว แต่ถ้าเครดิตตรงนี้หมด ทีนี้ก็ไม่มีทางกลับไปเรียนอันที่หมดอายุไปแล้วได้อีก ทั้งนี้คอร์สเรียนนึง จะสามารถเรียนได้ประมาณ4-5เดือนแล้วแต่คอร์ส คือถ้าคอร์สหมดอายุแล้วก็จะไม่สามารถเปิดอันไหนๆเรียนได้อีก ฉะนั้นต้องรีบเรียนให้ครบทุกแผ่นก่อนจะหมดอายุคอร์ส

ระบบ sa-mu-ra-i@home
นอกจากจะเรียนบทเรียนตามคอร์สที่เราซื้อเอาไว้แล้ว ยังมีระบบส่วนอื่นๆให้ใช้เมื่อเราล็อกอินเข้าสู่ระบบ มีหลายอย่างที่เราคิดว่าดีและได้ใช้บ่อยๆ เช่น

1.ระบบการถาม-ตอบกับอาจารย์ เนื่องจากเราไม่ได้เรียนกับอาจารย์แต่เรียนจากคอมฯ หากเรามีข้อสงสัยอะไรมันก็มีช่องทางให้เราได้สื่อสารโดยตรงกับอาจารย์ โดยสามารถส่งคำถามไปถามอาจารย์ได้เลย แต่อาจารย์จะมาตอบช้าหน่อย บางคำถามเราถามไปเป็นอาทิตย์อาจารย์ถึงค่อยมาตอบ (ปกติจะส่งไปถามอ.ปุ๊ เพราะคอร์สที่เรียนเป็นคอร์สที่อ.ปุ๊สอน) และเราก็ต้องคอยเข้าไปกดดูตรงส่วนคำถามว่าอาจารย์เข้ามาตอบรึยัง

2.Everybody's Dic ถือว่าเป็นคลังคำศัพท์ที่มีเยอะมาก พิมพ์คันจิตัวเดียวก็มาเพียบ ชอบมาก ทำให้เราท่องศัพท์ทีเดียวได้หลายๆคำที่มีคันจิมาจากตัวเดียวกัน แต่บางคำเสิชในนี้ไม่เจอ ก็พึ่ง longdo เอา

3.Kotoba Parade เกมทายคำศัพท์ ช่วยในการฝึกจำคำศัพท์ โดยเลือกระดับที่ต้องการฝึก หรือเราสามารถทดสอบชุดคำศัพท์ของเราเองก็ได้โดยต้องเข้าไปเพิ่มคำศัพท์ของเราก่อนแล้วค่อยเริ่มทดสอบ

จริงๆยังมีส่วนอื่นๆอีก แต่ส่วนใหญ่เราจะใช้แค่3อันนี้หลักๆ

อาจารย์ผู้สอน
คอร์สที่เราสมัครไว้ เราเรียนกับอาจารย์ปุ๊ อาจารย์สอนแกรมม่าดีมาก ไม่ค่อยนอกเรื่อง และจะอธิบายเรื่องที่เข้าใจยากให้เข้าใจได้ง่ายๆ ส่วนตัวเราชอบสไตล์ที่อาจารย์สอนมาก

แต่บางทีอาจารย์จะมีการอ่านคันจิผิดหรือเขียนผิดบ้าง ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องคันจิก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่เพื่อความชัวร์ ถ้าจะเอาคันจิที่อาจารย์สอนมาท่อง ควรจะเอาไปเสิชในคลังคำศัพท์หรือเปิดdicให้เรียบร้อยก่อนเสมอ

ค่าเรียน
คอร์สเตรียมสอบวัดระดับ ระดับยิ่งสูงยิ่งแพง ถ้าเรียนที่weไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม ถ้าเรียนที่บ้านจ่ายเพิ่ม1พันบาท ยกตัวอย่างเรียนN3 ราคาแบบ@homeเท่ากับ8พันและค่าหนังสืออีก250บาท สำหรับเราคิดว่าค่าเรียนไม่แพงถ้าเทียบกับความรู้ที่ได้มาจากอาจารย์

สรุป
ในแง่ของระบบการเรียนเองที่บ้าน ก็เป็นโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่เหมาะสำหรับผู้ไม่ชอบการเดินทาง(หรือทำงานแบบไม่เป็นเวลาจึงอาจจะไม่สามารถไปเรียนในวันเวลาเดิมๆได้ทุกสัปดาห์) เพราะน่าจะเป็นสถาบันเดียวในตอนนี้ที่มีให้เรียนที่บ้านได้ด้วย และมาตรฐานการสอนของอาจารย์ก็ถือว่ามีคุณภาพ จะมีข้อเสียตรงคันจินิดหน่อย นอกจากนี้ก็มีให้ทดลองเรียนก่อนได้ จึงสามารถประเมินได้ก่อนสมัครเรียนว่าวิธีที่อาจารย์สอนเหมาะกับตัวเรามั้ย เป็นสิ่งที่เราหาอยู่รึเปล่า

Jun 17, 2014

Lawson 108 ร้านสะดวกซื้อ สะดวกกิน

ได้มีโอกาสลองไปเทสรสชาติข้าวในร้าน lawson108 แบรนด์ร้านสะดวกซื้อที่ถ้าใครไปเที่ยวญี่ปุ่นจะต้องเคยเห็นสาขาอยู่มากมายโดยเฉพาะในแถบคันไซ หลังจากได้ดูๆคนอื่นรีวิวกันมาสักพักตอนแรกก็สงสัยว่าทำไมเป็นร้านสะดวกซื้อแต่คนเข้าไปนั่งกินข้าวกันจริงจังในนั้น ทั้งๆที่จำได้ว่าเวลาไปซื้อของในlawsonตอนไปญี่ปุ่นก็ไม่ได้มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งแบบนี้นะ(หรือมีแต่เราจำไม่ได้) เท่าที่เคยเห็นเป็นที่นั่งในร้านสะดวกซื้อแบบนี้เคยเห็นใน7-11ที่ไต้หวัน มีโต๊ะยาวกะเก้าอี้แบบนี้เลย และก็มีเครื่องซีร็อกซ์แบบนี้ด้วย

คิดว่าน่าสนใจดีก็เลยได้แวะไปลองมื้อเที่ยง สาขาที่ไปก็คือ mercury ville ที่อยู่ตรงข้ามเซ็นทรัลชิดลม สาขานี้ตั้งอยู่ชั้นล่างสุด ลงบันไดเลื่อนมาก็เห็นอยู่ตรงหน้าเลย ถ้านั่งรถไฟฟ้ามาก็ลงสถานีชิดลม ถ้าเอารถมาก็จอดที่เซ็นทรัลชิดลมแล้วเดิมข้ามมากได้ จอดฟรี2ชั่วโมงแรก หรือเอารถมาจอดที่mercury villeเลยก็ได้ แต่ไม่รู้ค่าจอดรถคิดยังไงนะ




ในร้านlawson108 มีอาหารให้เลือกกินหลายอย่างเหมือนกัน มีที่จัดโปรโมชั่นอยู่ชามละ49บาทเอง ราคาพอๆกับข้าวข้างทาง แต่ที่จะลองในครั้งแรกนี้ก็คือ ข้าวแกงกะหรี่ไก่ และ โดรายากิรสช็อกโกแลต ตอนจ่ายเงินเมื่อเราแจ้งว่าจะกินที่ร้าน พนง.ก็ให้ช้อนส้อมพลาสติกและเบอร์ที่นั่งมา ก็ยกอาหารไปนั่งตามเบอร์ได้เลย ที่นั่งเดี่ยววิวดี ได้มองไปที่ถนน มีอะไรให้ใส่เกือกมากมายบนท้องถนนนั่น



และตามโต๊ะจะมีปลั๊กให้ชาจแบตได้ด้วย สะดวกดีจริงๆ นอกจากนี้ก็มีโต๊ะนั่งกันเป็นหมู่คณะอยู่ด้านใน



ที่นั่งมีไม่มาก ฉะนั้นถ้ามาในช่วงเวลาprime time ก็อาจจะต้องมียืนกินกันบ้างล่ะ และสาขานี้สามารถใช้พื้นที่นั่งกินได้ตั้งแต่เวลา6โมงเช้า-บ่าย4โมง นอกเหนือเวลานี้ปิด คงเป็นเพราะสาขานี้ไม่ได้เปิด24ชั่วโมง แต่เราเชื่อว่าในอนาคตเมื่อลูกค้ามีมากพอ สาขานี้น่าจะเปิด24ชั่วโมงนะ เพราะข้างถนนก็จอดรถได้ถ้ามาดึกๆ ก็จอดหน้าร้านแล้วเดินเข้าร้านมาได้เลย สะดวกดี



ข้าวแกงกะหรี่ไก่ ราคา70บาท
ตัวข้าว-คิดว่าเป็นพันธุ์ญี่ปุ่นที่ปลูกในไทย แต่ปริมาณข้าวคิดว่าน้อยไปสำหรับผู้ชาย สำหรับผู้หญิงน่าจะอิ่มพอดี
แกงกะหรี่รสชาติคล้ายๆแกงกะหรี่สำเร็จรูปที่ขายในซุปเปอร์(ที่เอาซองไปต้มในน้ำร้อน2-3นาทีแล้วแกะเทใส่ข้าวกินได้เลย สะดวกมาก ดูตัวอย่างด้านล่าง) แต่ของร้านlawson108จะไม่ข้นเท่าแต่ไม่ถึงกับอ่อนรสแกงจนเกินไป และมีเนื้อไก่ใส่มาให้ด้วย ซึ่งแกงกะหรี่สำเร็จรูปมักจะมีแต่ซากเนื้อมาให้

นี่คือตัวอย่างแกงกะหรี่สำเร็จรูปที่เคยซื้อกินเป็นแบบนี้ (อันนี้ตัวอย่างนะ ไม่ใช่ว่าเหมือนรสนี้ รสนี้ยังไม่เคยลองเลย)

สรุป รสชาติข้าวแกงกะหรี่ไก่ ให้ผ่าน เพราะราคาแค่70บาท [ในขณะที่ปกติซื้อมากินกล่องละ105เยน (เดี๋วยนี้108เยนละ) แต่เมืองไทยก็แพงกว่านี้อยู่แล้ว น่าจะ60บาทคุ้นๆว่ามีที่ร้านไดโซะ] มีข้าวญี่ปุ่นอีกตีไป10บาท ใส่ไก่เพิ่มเข้ามาอีกตีไป10บาท ที่เหลือให้เป็นค่าอุ่นร้อนกับที่นั่งแสนสะดวกสบาย ถือว่าคุ้มมาก ถ้าวันไหนรีบๆ มีเวลาน้อยแล้วต้องการรสชาติแบบสำเร็จรูปญี่ปุ่นในราคาโคตรจะคุ้ม ก็จะแวะไปกินอีกนะ



อันต่อมาโดรายากิ เลือกรสช็อกโกแลตมาลอง ราคา20บาท
ตัวขนมปัง ค่อนข้างแข็งในความรู้สึก ความหอมก็พอมีบ้าง
ไส้ช็อกโกแลต หวานไปหน่อย (เป็นคนไม่กินหวาน) แต่อาจจะพอดีสำหรับคนอื่นๆ




สรุป ไม่ค่อยชอบโดรายากิเท่าไร คราวหน้าไว้จะไปลองขนมอย่างอื่นละกัน

เป็นอีกร้านสะดวกซื้อแต่ไม่แค่สะดวกซื้ออีกต่อไป เพราะสะดวกกินด้วย สำหรับใครที่อยากหาอะไรกินง่ายๆแนวญี่ปุ่นๆหน่อย ก็ขอแนะนำlawson108 ไม่ทำให้ผิดหวัง ในร้านมีอีกหลากหลายเมนู บรรยายไม่หมดและเลือกไม่ถูก นี่เป็นเพียงส่วนเดียวในร้าน สำหรับใครที่อยากลองแต่ไม่มีสาขาใกล้บ้าน ขอให้รออีกหน่อย รอบนี้สหพัฒน์น่าจะมาถูกทางกว่าเดิม(กว่าสมัยทำร้าน108shop) ฉะนั้นสาขาน่าจะขยายได้อีกบานเบอะไปทั่วประเทศ ต้องแตกต่างอย่างมีคุณภาพแบบนี้แหละ

Jun 13, 2014

JF - ฝ่ายภาษาญี่ปุ่น เจแปนฟาวน์เดชั่น

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีเมื่อเราเรียนภาษาญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ จนระดับภาษาของเราเริ่มสูงขึ้นๆ คนที่เรียนมาด้วยกันจะค่อยๆหายหน้าไปทีละคนๆ (บางทีก็หายไปทีละหลายๆคน) อย่างที่มีผู้กล่าวไว้ว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว เส้นทางการเรียนภาษาญี่ปุ่นก็ใช่ว่าจะแตกต่างกับคำกล่าวนั้นไม่ ซึ่งกลายเป็นปัญหาของผู้เรียนที่เน้นแนวทางการเรียนแบบมีครูผู้สอน เพราะคอร์สที่ไปจองเอาไว้ รอคนมาสมัครครบจำนวนเพื่อจะเปิดเรียนนั้น ก็ต้องรอกันเป็นปี หรือรอกันข้ามปีเลยทีเดียว ฉะนั้นเมื่อสามารถเรียนจนจบมินนะ4เล่มเป็นอย่างน้อย (หรือผ่านN4) ถ้าคิดไม่ออกว่าจะไปลงเรียนที่ไหนดี ก็ต้องขอแนะนำโรงเรียนนี้เป็นที่แรกที่ต้องคิดถึง...




อีกหนึ่งโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่ดเด่นในเรื่องของราคาและคุณภาพ ฝ่ายภาษาญี่ปุ่น เจแปนฟาวน์เดชั่น(Japan Language Department - Japan Foundation) ส่วนใหญ่เรียกกันสั้นๆว่าJFนั่นเอง http://www.jfbkk.or.th/japan_course_01th.php เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน จะเขียนแยกเป็นหมวดหมู่ตามสไตล์

การเดินทาง
ตั้งอยู่ชั้น10 เสริมมิตรทาวเวอร์ที่อยู่ตรงแถวอโศก ถ้ายนำรถยนต์มาก็สามารถจอดรถที่ตึกได้ ปั้มบัตรจอดรถกับทางโรงเรียนก็สามารถจอดได้1ชั่วโมงฟรี หรือวิธีการมาที่สะดวกกว่าก็คือ มารถไฟฟ้าBTSลงสถานีอโศก มาMRTก็ลงสถานีสุขุมวิท แล้วเดินออกมาexit1(ของMRT) เดินต่ออีกนิดนึงก็มาถึงอาคารเสริมมิตร



อาหารการกินในโรงเรียน
เนื่องจากที่ตั้งอยู่บนตึกออฟฟิศจึงไม่สามารถจะมีร้านขายอาหารหรือของกินเล่นมาตั้งขายที่ชั้น10ได้ ฉะนั้นหากต้องการซื้ออะไรมา(แอบ)กินในห้อง(ซึ่งไม่ควรทำ) หรือจะหาร้านข้าวกิน ก็ควรกินจากterminal 21มาเลย (ชั้นบนสุดมีfood courtที่ถือว่าถูกมากที่สุดในกรุงเทพฯ) ถ้าจะกินร้านอาหารต่างๆ หรือของกินเล่นก็มีมากมายให้เลือก แนะนำว่าหากหิวก็ควรจัดมาจากที่อื่นให้เรียบร้อย ถ้าไม่ได้แวะที่อื่นเลย ทางเลือกสุดท้ายที่ใกล้สุดคือร้านสะดวกซื้อใต้ตึก ซึ่งเป็นแบรนด์Lawson108เพิ่งเปิดไม่นานนี้ มีขายอาหารbentoและของกินอื่นๆแบบมีโต๊ะให้นั่งกินในร้านด้วย

ห้องสมุด
เป็นห้องสมุดสำหรับผู้รักภาษาญี่ปุ่นอย่างแท้จริง มาครั้งแรกก็หลงรักเลย เพราะไม่ใช่แค่หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นเยอะที่สุดแบบหาที่ไหนไม่ได้ ยังมีหนังสือญี่ปุ่นหลากหลายแนวให้อ่าน แผ่นเพลงญี่ปุ่น และหนัง+อนิเมะและอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ก็ยังมีหนังสือภาษาไทยที่เป็นหนังสือเรียนญี่ปุ่น หนังสืออ่านเล่นที่แปลมาจากญี่ปุ่น ฯลฯ ทั้งหมดนี้เข้าไปใช้บริการได้ฟรี แต่ถ้าต้องการยืมออก ต้องสมัครสมาชิกรายปี แต่ที่นี่ปิดทุกวันอาทิตย์และวันหยุด ดูรายละเอียดได้จากเว็บ http://www.jfbkk.or.th/libraryservice_th.php

เนื่องจากมีคนญี่ปุ่นมาใช้บริการเยอะเหมือนกัน ที่นี่เลยค่อนข้างเงียบ(ดี)มาก ไม่ค่อยมีเสียงคุยกันรบกวนผู้อื่น โต๊ะมีจำนวนมากพอสมควร สามารถนั่งอ่านหนังสือได้ทั้งวันแบบมีสมาธิอย่างมาก (ห้องสมุดอยู่ที่ชั้น10เหมือนกัน แต่จะอยู่แยกจากส่วนของโรงเรียนมาอีกฝั่ง)

การเข้ามาเรียน
ที่นี่เป็นระบบเปิดเรียน2ภาคการศึกษาต่อปี เทอมแรกของปีเรียนประมาณเดือนมิย.-กย.และเทอมที่2เรียนประมาณเดือนพย.-กพ. ช่วงเดือนพค.และตค.ของทุกปีก็จะมีการจัดการสอบเพื่อวัดระดับชั้นก่อนเข้าเรียน (หากใครสนใจจะเรียนที่นี่ก็ควรเข้าเว็บของโรงเรียนหรือเฟสบุคโรงเรียน https://www.facebook.com/jfkouzabkk เพื่อหาข้อมูลล่วงหน้าตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนและปลายเดือนกันยายน เพื่อเช็ควันสมัครสอบและวันสอบ) หรือหากสอบผ่านการสอบวัดระดับ JLPT ตั้งแต่N4,N3และN2 ที่มีอายุไม่เกิน2ปีก็เอามายื่นแทนการสอบได้

ข้อสอบที่ใช้สอบเพื่อวัดระดับเราว่าจะได้เรียนระดับไหน(สำหรับผู้ไม่มีผลJLPT)จะเป็นข้อสอบชุดเดียว เรียงจากง่ายไปยาก มีทั้งสอบฟัง เขียนคันจิ คำศัพท์ แกรมม่า บทความให้อ่าน คล้ายๆสอบวัดระดับJLPT เลยแต่ง่ายกว่า ในส่วนของคันจิและฟังเขียนตอบที่ได้ยินจะเป็นระดับต้นๆง่ายๆ ส่วนแกรมม่ามีตั้งแต่ง่ายไปยาก ส่วนบทความก็มีหลายบทความตั้งแต่แบบง่ายไปยาก ตอนเราไปสอบเคยออกบทความเหมือนเล่มเตรียมสอบวัดระดับเป๊ะๆเลย

เล่มนี้อ่ะ


การสมัครเรียน
หลังสอบผ่านได้ระดับชั้นกันแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการสมัครเรียน ก็ต้องมาแย่งกันลงเรียน เนื่องจากคอร์สมีหลายคอร์สเปิดให้เรียนก็จริง แต่เปิดน้อยกว่าจำนวนคนที่ต้องการมาเรียน แต่ส่วนใหญ่จะไปแย่งกันในระดับชั้นกลางหรือผู้ที่ผ่านN3 แต่ในระดับN4(หรือชั้นต้นกลาง)ก็ไม่เต็มกันง่ายๆ ยกเว้นคอร์สmarugotoที่จะสมัครเรียนก่อนคอร์สอื่นๆ ก็เลยจะเต็มไว เดี๋ยวนี้มีคอร์สmarugotoขั้นต้นด้วย น่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านN5 อันนี้ไม่แน่ใจ สำหรับนักเรียนเก่าจะมีสิทธิ์ได้ลงทะเบียนเรียนก่อนนักเรียนใหม่คนละ1คอร์ส แต่จะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดตรงนี้ละกันเพราะนักเรียนเก่าคงรู้ระเบียบดีอยู่แล้ว

ในวันสมัครเรียน เค้าจะเริ่มให้ลงทะเบียนตั้งแต่10โมงก็จริง แต่หากต้องการได้เรียนคอร์สที่อยากเรียนแบบชัวร์ๆ ควรจะมาเข้าคิวตั้งแต่8โมง หลังจากลงทะเบียนรอบเช้าเสร็จ (ซึ่งจะลงได้คนละคอร์สเท่านั้น) ก็สามารถไปเข้าคิวใหม่สำหรับรอลงทะเบียนรอบบ่ายได้เลย รอบบ่ายจะลงกี่คอร์สก็ได้ จากนั้นก็รอเปิดเรียนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

คอร์สเรียน
มีคอร์สเรียนประมาณ20คอร์สต่อเทอม รวมทุกระดับชั้น คอร์สนึงรับประมาณ15-25คนแล้วแต่คอร์ส แต่ละคอร์สมีทั้งเรียนต่อเนื่องไปเทอม2 และคอร์สแบบเรียนจบในเทอมเดียว แต่จะไม่มีคอร์สเรียนแบบเรียนยาวๆไปเรื่อยๆจนจบแล้วสอบเพื่อผ่านไประดับชั้นถัดไป แต่คอร์สจะเป็นประมาณเหมือนเสริมทักษะในระดับนั้นๆมากกว่า ฉะนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่เรียนเองอยู่แล้วมาหาอะไรเรียนเสริมมากกว่า จะมาเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อสอบJLPTภายใน1หรือ2เทอม ถ้าเรียนแล้วต้องการจะไปเรียนในคอร์สที่ระดับสูงขึ้นกว่าเดิม ก็ต้องสอบวัดระดับของเจเอฟเอาหรือไม่ก็เอาคะแนนJLPTมายื่นเท่านั้น

คอร์สที่เปิดประมาณ45% จะเป็นคอร์สสำหรับระดับN3 ต้องเข้าใจหน่อยเพราะว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่หาที่เรียนตามสถาบันแบบมีอาจารย์เป็นผู้สอนยากมาก ฉะนั้นแม้จะเป็นผู้เรียนด้วยตนเองบางทีก็ต้องมาหาที่เรียนเสริมบ้าง เผื่อว่ามีข้อสงสัยอะไรตรงไหนยังไง จะได้มีอาจารย์ระดับเทพไว้คอยถามส่วนที่ข้องใจ

อีก35%ก็จะเป็นคอร์สสำหรับระดับN2 ส่วนมากผู้ที่ผ่านN2แล้วมักจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาญี่ปุ่นกันอยู่แล้ว ฉะนั้นการเพิ่มพูนทักษะมักจะเป็นแบบการได้ใช้บ่อยๆจนเคยชิน อ่านบทความที่เป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่เป็นนิจ แปลเป็นอาชีพอะไรทำนองนี้ แต่การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อพัฒนาทักษะในด้านที่อาจจะไม่ถนัดหรือเป็นส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้ ก็จำเป็นต้องมาเรียนเสริมกันบ้าง แล้วก็แทบจะไม่มีที่ไหนเปิดสอนระดับสูงแบบN2ได้นอกจากที่เจเอฟแห่งนี้

ส่วนอีก20%ที่เหลือจะเป็นคอร์สสำหรับN4 เนื่องจากในระดับนี้ แกรมม่าและคำศัพท์ในคลังสมองเรา มักจะยังมีไม่มากพอจะเอาไปใช้งานได้อย่างจริงจัง หลายๆคนจึงยังเรียนอยู่ในระบบตามสถาบันต่างๆ หรืออาจจะเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเรียนด้วยตนเอง คอร์สที่เสริมทักษะด้านใดด้านหนึ่งในระดับนี้จึงน่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่เรียนด้วยตัวเองแล้วมาเสริมส่วนที่ขาดมากกว่า ถ้ามาเรียนหวังเอาผ่านN3จากที่นี่อย่างเดียวล้วนๆ บอกได้เลยว่าเป็นไปได้ยาก

ส่วนระดับN5น้องใหม่ที่เพิ่งเปิด เป็นคอร์สmarugoto เน้น ฟัง พูด อ่าน เขียน เป็นคอร์สที่ไม่เคยเรียน เลยไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นไง แต่ตำราดูน่าเรียนมาก

ค่าเรียน
ถูกที่สุดในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน กับระดับการสอนคุณภาพสูงขนาดนี้ ได้ยินมาว่าค่าตัวอาจารย์แต่ละคนที่สอนที่นี่ต่อชั่วโมงสูงกว่าค่าตัวอาจารย์(น่าจะเกือบ)ทุกสถาบัน แต่เนื่องจากว่าที่เจเอฟมีรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นสปอนเซอร์ให้ ทำให้นักเรียนทุกคนที่ได้มีโอกาสมาเรียนที่นี่จ่ายค่าเรียน(ค่าตัวอาจารย์)แค่เพียงส่วนเดียว ที่เหลือรัฐบาลญี่ปุ่นออกให้ จึงได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ฮ่าๆๆ ฟังดูเท่อ่ะ แบบว่านักเรียนทุนนะ มีสมองไรแบบนี้ แต่จริงๆก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น กร๊ากๆ

อาจารย์ผู้สอน
คือแบบว่าเคยได้ยินมาว่ามีอาจารย์ที่สอนอยู่ที่นี่คนนึงสอบได้N1แบบเต็มทุกพาร์ทอ่ะ สุดยอดอ่ะ ทำได้ไง(วะ) แต่ส่วนตัวไม่เคยเรียนกับอาจารย์ท่านนี้นะ เคยเรียนกับอาจารย์คนอื่น แต่เท่าที่เรียนมา ก็คิดว่าอาจารย์มีวิธีสอนที่สนุก ไม่น่าเบื่อ และทำให้เราเข้าใจได้ง่าย ที่สำคัญอาจารย์น่ารักและใจดีมาก ทุกคนเลย แถมบางคลาสมีกิจกรรมเสริมสนุกๆหลายอย่าง เช่น การเขียนพู่กันจีน การเขียนสคส.ปีใหม่ การแต่งกลอนเซนริว แม้จะมีเวลาน้อยมาก(เรียนชั่วโมงครึ่ง) แต่ก็มีแทรกวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบมินิให้ ถูกใจสุดๆ เพราะโรงเรียนอื่นที่เรียนมาไม่มีแบบนี้เลย ที่สสท.จริงๆเวลาเรียนมีล้นเหลือมากในแต่ละวัน น่าจะมีจัดกิจกรรมเหล่านี้บ้าง

การเรียนและการสอบ
ปกติการเรียนในห้อง จะมีการสอบเก็บคะแนนย่อยเรื่อยๆ ซึ่งแล้วแต่อาจารย์ผู้สอนจะใช้วิธีแบบไหนและวันไหน แต่ส่วนใหญ่อ.จะบอกล่วงหน้า แล้วก็จะมีสอบเก็บคะแนนกลางภาคและปลายภาคตามแต่อ.แต่ละคนจะแจ้งว่าจะเป็นวันไหน แต่วันเรียนวันสุดท้ายมักเป็นสอบปลายภาคแน่นอน ก็คือถ้าเรามาเรียนสม่ำเสมอ คอยทำการบ้านส่งและทบทวนตลอด ก็สอบผ่านแน่นอน อาจารย์ไม่กดคะแนนเลย แต่ที่สำคัญคืออย่าขาดเรียนมากเกิน ถ้าจำไม่ผิดถ้าขาดเรียนเกิน50%สอบได้คะแนนสูงแค่ไหนก็ไม่ผ่านอยู่ดี เพราะที่นี่เค้าเน้นนักเรียนที่ตั้งใจมาเรียนจริงๆ ไม่ใช่มาลงเรียนขำๆ

สรุป
เป็นอีกที่หนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ที่เรียนอยู่ในระดับสูงๆ ตั้งแต่N3เป็นต้นไป เพราะมันแทบจะไม่มีที่ไหนสามารถเปิดคอร์สในระดับแบบนี้ได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะหากผ่านN2มาแล้วคงต้องมาเรียนที่นี่อย่างเดียวแบบไม่มีทางเลือกอื่นเลยยกเว้นเรียนตัวต่อตัว แต่คอร์สที่นี่ไม่ได้เป็นคอร์สเรียนต่อเนื่องยาวๆแบบเรียน2ปีจากN3มาจบN2อะไรแบบนั้น ฉะนั้นผู้เรียนควรเป็นผู้ไฝ่รู้เรียนด้วยตัวเองอยู่แล้ว (ไม่ใช่เอาชีวิตมาฝากไว้กับอาจารย์) แล้วมาเสริมทักษะที่ขาดที่นี่ ส่วนที่เป็นข้อเสียของที่นี่คือเปิดแค่ปีละ2เทอม น่าจะปรับเป็น3เทอม จะได้มีให้เรียนตลอด ไม่ต้องหยุดนานเป็นเดือนๆ

Jun 11, 2014

สสท - โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรม สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)


เรียนภาษาญี่ปุ่นมาก็หลายปี (เริ่มจากปี2012 มาถึงวันนี้ก็2ปีกว่าแล้วสินะ) มาถึงวันนี้ก็มีโอกาสได้เรียนภาษาญี่ปุ่นจากหลายๆสำนัก เลยจะขอเขียนถึงแต่ละโรงเรียนอย่างเป็นกลาง เผื่อใครที่อยากหาที่เรียน จะได้พอมีไอเดีย

ตรงนี้อ่านข้ามไปได้ เรื่องส่วนตัวล้วนๆ
คร่าวๆ ก่อนแนะนำโรงเรียน แนะนำตัวก่อน ส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ถนัดทางด้านภาษาเลย สมัยเรียนภาษาไทยตอนเด็กๆก็ไม่เคยได้เกรดเกิน2เลย เพราะว่าไม่เข้าใจแกรมม่าภาษาไทยเลยพูดตรงๆที่ทุกวันนี้พูดฟังเขียนอ่านได้ เพราะมันต้องใช้ทุกวันแค่นั้นเอง หลังๆดันคุยกับคนงานพม่ามากไปเลยทำให้เดี๋ยวนี้พูดเพี้ยนๆสลับตำแหน่งแบบคนพม่าเลย เช่นคำว่า หมอนพ่อ แต่พูดเป็น พ่อหมอน -''- ฉะนั้นอย่าไปพูดถึงภาษาอังกฤษที่เรียนมาเกือบทั้งชีวิตเลย เกินเยียวยาไปมาก นอกจากนี้เคยถูกที่บ้านบังคับให้เรียนภาษาจีน ก็มีโอกาสได้เรียน2-3คอร์ส อารมณ์ประมาณว่าคอร์สขั้นต้นของทุกสถาบันผ่านมาหมดแล้ว เรียนไม่เคยจบคอร์ส เลิกก่อนทุกทีแล้วก็ย้ายไปเริ่มต้นเรียนที่ใหม่ ถึงที่สุดพ่อแม่ก็ได้จ้างครูคนจีนมาสอนภาษาจีนที่บ้าน สุดท้ายก็เลิกเพราะไม่ชอบจริงๆ มันไม่เข้าหัวเลย ได้แต่ขำที่อ.สอนไปวันๆ แล้วก็ได้รู้ตัวอย่างจริงจังว่าเราคงไม่ชอบภาษาใดๆในโลกนี้เลย

ทีนี้พอดีว่าตอนขึ้นปีใหม่ปี2012 ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบไปเองไม่ง้อทัวร์ ก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด คนญี่ปุ่นที่ได้พบเจอทุกคนพูดญี่ปุ่นใส่แบบไม่แคร์ฝั่งผู้รับสารอย่างเราเลย กลับมาเลยตั้งใจว่าคราวนี้แหละ จะไปเรียนภาษาญี่ปุ่นจริงๆจังๆละ ถึงแม้เป็นคนไม่ถนัดสายภาษาเลย​ (ถนัดพวกวิเคราะห์กับตัวเลขมากกว่ามาก) ก็จะลองดูสักตั้ง เพราะเดิมทีก็ชอบอ่าน+ดูการ์ตูน(ญี่ปุ่น)มาตั้งแต่อยู่ประถม (มีฟังเพลงด้วยบางวงที่ดังๆ) จริงๆตอนอยู่มัธยมก็เคยไปสมัครเรียนญี่ปุ่นด้วย ไปคนเดียวเลย แบบว่าบ้าญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กๆ แต่วันนั้นไปสมัครเรียนแล้วคอร์สเต็มเลยอดเรียน แล้วเราก็เหมือนไม่ได้มีแรงจูงใจมากพอมั้ง ติดเกมด้วยอะไรด้วยสุดท้ายเลยไม่ได้ไปสมัครใหม่ และลืมเลือนเรื่องราวเหล่านี้ไป จนกระทั่งตอนนี้..




เข้าเรื่องโรงเรียนสสทตรงนี้
สำหรับโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นโรงเรียนแรกที่จะแนะนำคือที่นี่เลย ชื่อเต็มๆคือโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรม สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) หรือทุกคนเรียกย่อสั้นๆกันว่า สสท http://www.tpa.or.th/slc/ ต่อไปจะขอแยกเป็นหมวดหมู่ให้เลือกอ่านได้ง่ายละกัน

การเดินทาง
โรงเรียนตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท29 มีที่จอดรถสำหรับผู้นำรถยนต์มา แต่บางทีก็ที่จอดเต็ม ต้องไปจอดนอกโรงเรียนแทน(แต่ก็ยังอยู่ในซอยสุขุมวิท29นะ) วิธีการเดินทางที่สะดวกกว่าคือBTS สามารถลงได้ทั้งสถานีพร้อมพงษ์ และสถานีอโศก เพราะระยะทางเดินมาโรงเรียนจากทั้งสองสถานีถือว่าพอๆกัน (ถ้ามาจากทางรถไฟใต้ดินก็ลงสถานีสุขุมวิท)



อาหารการกินในโรงเรียน
มีร้านอาหารเล็กๆในโรงเรียนอยู่ด้านข้าง (แต่ทางเข้าจะหายากนิดนึง) ส่วนในอาคารเรียน ชั้น1มีซุ้มขายน้ำและขนมกินเล่นพวกไอติมและขนมปัง และมาม่าคัพสำหรับคนหิวและรอนานไม่ได้

ร้านหนังสือ
เลยจากร้านขายน้ำมาหน่อย จะมีร้านหนังสือสสทอยู่ อย่างที่รู้กันว่าสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปุ่น) เค้ามีการพิมพ์หนังสือขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นมากมายที่ใช้กันหลายๆเล่มก็เป็นของที่นี่ เรียกได้ว่ามีหนังสือให้เลือกซื้อ(ไปประดับบ้าน)ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับสูง สมาชิกสสทซื้อหนังสือได้ลด15% แบบไม่ต้องรองานหนังสือ และมีโปรโมชั่นร่วมลดราคาจากบัตรrabbitเป็นบางโอกาส อันนี้ต้องติดตามโปรโมชั่นกันเอง

ห้องสมุด
ที่นี่มีห้องสมุดอยู่ชั้นสอง แทบไม่เคยเข้าไปเลย เคยเข้าไปครั้งเดียว เงียบสงบดีและไม่ค่อยมีคน แต่เข้าไปแปบเดียว เลยไม่รู้ว่าหนังสือในนั้นเป็นยังไงมั่ง

ห้องเรียน 
ห้องเรียนอยู่ตั้งแต่ชั้น2ถึงชั้น6 ห้องเล็กบ้างห้องใหญ่บ้างแล้วแต่จำนวนผู้เรียนในคอร์สนั้นๆ มีลิฟท์และบันไดให้เลือกใช้ โต๊ะเรียนที่นี่เป็นโต๊ะแบบโต๊ะยาวนั่งได้2คน ซึ่งเราชอบมาก เพราะมันวางหนังสือวางอะไรได้เยอะดี ที่อื่นส่วนใหญ่จะเป็นโต๊ะแบบเลคเชอร์ มันวางของได้น้อยไม่ค่อยสะดวกเท่า

คอร์สเรียน
คอร์สเรียนที่นี่สำหรับในการเริ่มต้น เมื่อก่อนเป็นMNเรียนทีละ6บทต่อคอร์ส แต่เดี๋ยวนี้จะเป็น JD ซึ่งจะเรียนคอร์สละ3บท หรือ1ใน4ของเล่มมินนะ เรียนจบคอร์สก็จะต้องสอบให้ผ่านเพื่อจะได้ไปเรียนคอร์สถัดไป อย่างที่เราเรียนเป็นคอร์สวันเสาร์ ก็จะเรียนครั้งละ4ชั่วโมง(รวมเบรค) อาจารย์ไทยสอน2ชั่วโมง อาจารย์ญี่ปุ่นสอน2ชั่วโมง อ.ไทยจะเป็นคนสอนแกรมม่า การอ่านและคำศัพท์ อ.ญี่ปุ่นจะเน้นสนทนา คำศัพท์และคันจิ ตีคร่าวๆว่าจะเรียนจบมินนะทั้ง4เล่มก็ต้องเรียนทั้งหมด16คอร์สนั่นเอง สามารถสมัครเรียนได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะในคอร์สขั้นต้นมีเปิดทุกเดือน ส่วนคอร์สระดับสูงกว่าขั้นต้นขึ้นไปก็จะแล้วแต่คอร์สนักเรียนเก่าจะเรียนจบเมื่อไร ก็ไปรอเรียนพร้อมเค้าเปิดว่าง่ายๆ

ความต่อเนื่องของคอร์สจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคนที่จะเรียนต่อมีเยอะน้อยแค่ไหน ถ้าคนในห้องที่เรียนมาด้วยกันไม่เรียนต่อกันเยอะ ทำให้คนที่จะต่อคอร์สถัดไปมีไม่ถึง7-8คน ก็อาจจะต้องรอให้คนถึงจำนวนก่อนคอร์สจึงจะได้เปิด สำหรับคนที่สอบไม่ผ่านในวันปิดคอร์ส ก็ต้องรีบไปสอบซ่อม ถ้าสอบซ่อมผ่านเราก็ยังได้เรียนกับเพื่อนกลุ่มเดิมต่อ ไม่ต้องกลัวว่าสอบตกแล้วจะไม่ได้ไปต่อ สำหรับคนที่เคยเรียนที่อื่นมาก่อน ก็มาสอบวัดความรู้ก่อนจากนั้นก็จะได้ไปเรียนในคอร์สที่เหมาะสมต่อไป

อาจารย์ผู้สอน
เนื่องจากเวลาค่อนข้างเยอะต่อการมาเรียนแต่ละครั้ง ตั้ง4ชั่วโมง ส่วนตัวเราคิดว่าอ.สอนค่อนข้างช้า แต่มันก็ทำให้พื้นฐานของเราแน่นมากเช่นกัน ฉะนั้นที่นี่จึงน่าจะเหมาะสำหรับคนที่ไม่รีบเร่งด้านเวลา แต่อยากจะพื้นแน่นๆ อ.ที่นี่แต่ละคนคุณภาพมากๆ คะแนนให้ร้อยละ90ถือว่าอ.ที่นี่โอเคมากเลย แต่ข้อเสียคือเราไม่มีโอกาสลงเรียนกับอ.ที่ชอบได้เอง ต้องแล้วแต่เค้าจะจัดมาว่าคอร์สไหนจะได้อ.อะไร ฉะนั้นถ้าเรียนไปเรื่อยๆหลายๆคอร์สก็อาจจะได้เจอกับอ.เกือบทั้งโรงเรียนก็ได้ แต่เราโชคดีมากได้อ.ที่ชอบมากๆคนเดิมติดๆกันหลายๆคอร์ส ทำให้การไปเรียนทุกวันเสาร์คือความสุขที่ตั้งตารอคอย

สำหรับผู้โชคร้าย คอร์สแรกที่ลงเรียนอาจจะได้เจอกับอาจารย์ที่สอนน่าเบื่อสุดๆแล้วจะกลายเป็นไม่ชอบภาษาญี่ปุ่นไปเลยก็ได้ เพราะบางทีวันไหนที่อาจารย์ที่สอนเราไม่มา เราก็จะได้มีโอกาสเรียนกับอาจารย์คนอื่นๆที่มาสอนแทน ซึ่งบางทีคนที่มาแทนสอนแย่และเราไม่ชอบเลย แต่โชคดีที่ไม่เคยเรียนกับอ.ท่านนั้นทั้งคอร์ส

การสอบเลื่อนชั้น
เมื่อเราเรียนจนมาถึงวันสุดท้ายของคอร์สเราจะต้องสอบเพื่อเลื่อนไปเรียนชั้นต่อไป สำหรับผู้ที่ตั้งใจเรียน ทบทวนตลอดทุกๆวัน ข้อสอบจัดว่าอยู่ในระดับง่าย สอบยังไงก็ได้เกิน90% แต่ถ้าเวลาที่ทบทวนมีน้อย ก็อาจจะต้องท่องศัพท์และทบทวนมากหน่อยก่อนสอบ การสอบก็จะมีสอบกับอ.ไทยและอ.ญี่ปุ่น อ.ไทยก็สอบกระดาษ คือแกรมม่า เขียนคันจิ สอบฟัง ประมาณนี้ สอบอ.ญี่ปุ่นใช้เวลาสั้นๆ คนละไม่เกิน10นาที สอบinterview (ทีละคนข้างนอกห้อง บางทีก็ห้องข้างๆถ้าว่าง) จากสิ่งที่เรียนมาในคอร์สนั้นๆ ก็ไม่ยากมากถ้าเตรียมตัวมาดี จะมีพูดผิดกันบ้าง แต่อ.ส่วนใหญ่ก็จะไม่กดคะแนนมากนักในพาร์ทนี้

ส่วนที่ดีของที่นี่คือ ถ้าสอบได้คะแนนสูงที่สุดในห้องและคะแนนเกิน95% คอร์สถัดไปค่าเรียนจ่ายแค่ครึ่งเดียว เหมือนได้เป็นนักเรียนทุนเรียนดีประมาณนั้น (แต่ถ้าหากคนสูงสุดและเกิน95%มี2คน เค้าจะดูจากคะแนนการมาเรียน คนไหนมาเรียนมากกว่าคนนั้นก็จะได้ไป)

ค่าเรียน
เมื่อก่อนค่าเรียนที่นี่ถือว่าถูกมาก แต่เดี๋ยวนี้ปรับราคาขึ้นไปเท่าๆกับสถาบันอื่นละ เคยได้ยินผู้ใหญ่คนนึงเคยบอกว่าเมื่อ20ปีก่อนค่าเรียน500บาทเอง ฮ่าาา เดี๋ยวนี้ไม่มีละราคาแบบนั้น ถ้ามี คนคงมานั่งเรียนกันแน่นเต็มห้องแน่ๆ

สรุป
ถือเป็นอีกโรงเรียนที่แนะนำใครไปแล้วไม่ผิดหวัง ยกเว้นดันหวังไว้มากแล้วไปเจออ.ที่สอนไม่ดีที่มีเพียงส่วนน้อยมาก ถ้าไม่รีบเรื่องเวลาและต้องการพื้นฐานแน่นๆ ค่าเรียนพอประมาณไม่แพงไป สถานที่เรียนเดินทางไปได้สะดวก ที่นี่ก็น่าจะเหมาะสม แต่ถ้าเป็นคนชอบเร็วๆ เรียนไวๆ ได้N2ภายใน2ปีนับจากวันแรกที่เรียนภาษาญี่ปุ่น ที่นี่คงตอบโจทย์นั้นได้ไม่ดีนัก ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสามารถในการเรียนภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาใดๆ ให้ได้ดีนั้น ก็คงต้องขึ้นกับตัวผู้เรียนด้วยว่าตั้งใจและขยันมากน้อยแค่ไหน ถ้าเปิดหนังสือเรียนแค่เวลาที่ไปเรียนที่โรงเรียน ท่องศัพท์แค่ก่อนสอบ อยู่บ้านไม่เคยทบทวนอะไรเลยแม้แต่คันจิตัวเดียว ก็ควรจะตั้งคำถามกับตัวเองว่ามาเรียนทำไม ใครบังคับมารึเปล่า!?

Jun 8, 2014

ชีวิต

「一度きりの人生を大切に生きる」ใช้ชีวิตที่มีแค่ครั้งเดียวอย่างมีคุณค่า



เปิดด้วยประโยคสั้นๆสวยงามแต่กินใจในความหมาย ชีวิตของทุกๆคนต่างต้องเคยประสบกับอาการที่ว่า "กว่าเราจะเห็นคุณค่าของสิ่งใด เรามักจะสูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว" แม้เราคิดว่าขอเพียงโอกาสอีกครั้งที่จะไม่ทำผิดพลาดอีก ขอเพียงแต่ได้สิ่งที่สูญเสียไปแล้วนั้นกลับคืนมา จะดูแลให้ดีกว่าที่ทำเอาไว้ แต่เชื่อเถอะว่า เพราะพวกเราเป็นมนุษย์ที่ไม่รู้จักพอและชอบทำผิดซ้ำสอง(ซ้ำสาม ซ้ำสี่ ฯลฯ) สุดท้ายเราก็จะสูญเสียมันไปอีกอยู่ดี ฉะนั้นอย่าเรียกร้องอะไรกลับมาเลย หากเรารู้ว่าเราจะดูแลมันได้ไม่ดีพอ

ชีวิตของคนเราทุกคนก็มีเพียงแค่ชีวิตเดียว หากหัวใจหยุดเต้นไปแล้วก็หมดโอกาสที่จะแก้ตัว ฉะนั้นเราต้องดูแลชีวิตเราให้ดีๆ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า ไม่ใช่ใช้ให้คุ้มอย่างที่หลายๆคนพูดกัน เคยมีคนๆนึงกล่าวว่า ชีวิตคนเราก็เหมือนเครื่องมือ ไม่ได้มีค่าอะไรในตัวมันเอง หากเอามาสร้างสรรค์สิ่งดีก็เกิดประโยชน์ หากนำไปทำร้ายผู้อื่น มันก็เกิดโทษ หากปล่อยทิ้งไว้เฉยๆก็สนิมขึ้นและผุพังเงียบๆไปตามกาลเวลา ชีวิตจะมีคุณค่าหรือไม่จึงขึ้นอยู่กับเราเองว่าจะเอาไปใช้ในลักษณะไหน

「明日のことは、明日にならないとわからない。わからないからこそ、生きている意味があるのかもしれない」
เรื่องของวันพรุ่งนี้ เราไม่มีทางรู้จนกว่าจะถึงวันพรุ่งนี้ ก็เพราะว่าไม่รู้นั่นหล่ะ เราถึงต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป แล้วเราอาจจะได้รู้ความหมายของชีวิต

ฆ่าตัวตาย - suicide

ญี่ปุ่นถือเป็นประเทศที่มีคนฆ่าตัวตายสูงมากติดอันดับโลก แม้ว่าจะมีอัตราการฆ่าตัวตายลดลงบ้างในบางปี แต่ก็ยังถือว่ามีจำนวนผู้ที่ฆ่าตัวตายสูงอยู่ดี(เกิน3หมื่นคนต่อปี) จนเมื่อพูดถึงการฆ่าตัวตายแล้ว ญี่ปุ่นเป็นต้องติดอันดับต้นๆในใจของหลายๆคนแน่นอน วันนี้จึงขอเข้าสู่โหมดเรื่องการฆ่าตัวตาย ซึ่งในอนาคตประเทศไทยของเราก็อาจจะต้องเผชิญกับผู้ซึมเศร้ามากมายที่เผลอคิดจะทำร้ายตัวเอง คนๆนั้น อาจจะเป็นคนสำคัญที่อยู่ข้างๆตัวเราก็เป็นได้



ทำไมอยากฆ่าตัวตาย?
เวลาที่คนเราคิดจะทำร้ายตัวเองด้วยการฆ่าตัวตายนั้น มันไม่ใช่เพราะว่าปัญหาที่เจอ มันไม่มีทางออก หรือมองไม่เห็นทางออกหรอก แต่เป็นเพราะว่าไม่มีใครใส่ใจที่จะฟัง หรือพยายามที่จะเข้าใจตัวเค้าต่างหาก คนเราไม่ได้อยู่ได้ด้วยมือถือราคาแพง รถราคาหลายล้าน เงินในบัญชี หรือของแบรนด์เนมหรอก เมื่อรู้สึกหดหู่ใจหรือซึมเศร้าใจ มันคือช่วงเวลาจิตตกที่คนๆนั้นเพียงแต่ต้องการใครสักคนมารับฟัง มาอยู่เป็นเพื่อน มาเข้าใจ มาใส่ใจเค้าเป็นพิเศษ (คล้ายๆตอนสมัยเด็กๆ มันก็มีช่วงที่เราอยากอ้อนพ่อแม่เป็นพิเศษ เช่นทะเลาะกับพี่มา ก็มาอ้อนนอนกอดแม่อะไรแบบนี้อ่ะนะ) ซึ่งพวกข้าวของเหล่านั้นมันทำสิ่งนี้ไม่ได้ สิ่งของนอกกายพวกนั้นถึงได้ไม่มีค่าเท่ากับที่เราจ่ายเงินซื้อมันมาหรอก (คือซื้อมาซะแพงสุดท้ายไม่ได้มีค่าทางจิตใจอะไรเลยว่างั้นเหอะ) แต่ต้องเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชื่อว่า"มนุษย์"ต่างหาก

และจะยิ่งดีเมื่อคนที่มาใส่ใจเค้าเป็นคนที่เข้าใจเค้าอย่างแท้จริง เช่น พ่อ แม่ เพื่อนรัก แฟน ถ้าไม่มีบุคคลข้างต้น ก็เป็นใครก็ได้บนโลกนี้ที่พร้อมจะรับฟังเค้า เช่น เพื่อนห่างๆ อาจารย์ จิตแพทย์ พระ ฯลฯ หรือแม้แต่คนที่ไม่รู้จักกันในเน็ตก็ตาม ขอเพียงแค่เราพยายามเข้าใจเค้าแม้สักนิด เป็นกำลังใจให้เค้า อยู่เป็นเพื่อนเค้า แสดงความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยให้เค้าเห็น ให้เค้ารู้สึกว่าไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวบนโลก แค่นั้นเอง ไม่ต้องไปช่วยแก้ปัญหาก็ได้ พอเค้ารับรู้ว่ามีใครสักคนในโลกที่ฟังเค้า เข้าใจเค้า หัวใจของเค้าก็จะค่อยๆอบอุ่นขึ้นมาเอง แล้วความเข้มแข็งจะค่อยๆกลับมา(คนที่จิตใจเข้มแข็งไม่มีทางฆ่าตัวตายหรอกจริงมะ) ถ้าหากคนๆนั้นเป็นคนสำคัญมากๆสำหรับเราด้วยแล้ว ก็ต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้เค้าเห็นให้ได้ว่าเราแคร์เค้ามากแค่ไหน


โปรดอย่าแสดงความรำคาญ
ช่วงเวลาที่เค้าคนนั้นจิตตกมากๆ หรือซึมเศร้าอยู่ การแสดงความรำคาญออกมาแม้เพียงนิดเดียว ก็อาจจะเปลี่ยนเป็นความหายนะได้ในพริบตา เพราะทันทีที่เค้ารับรู้ว่าเรารำคาญเค้า มันยิ่งทำให้เค้ารู้สึกว่าเค้าคือตัวปัญหา ไม่มีใครต้องการเค้า แม้แต่คนที่พยายามฟังเค้า สุดท้ายก็รับเค้าไม่ได้อย่างแท้จริง เค้าจะยิ่งรู้สึกว่าเค้าสูญเสียของมีค่าชิ้นสุดท้ายในโลกใบนี้(ก็คือเรานั่นแหละ)ไปแล้วสินะ ต่อไปนี้เค้าคงไม่เหลือใครจริงๆ ฉะนั้นโปรดระวังท่าทีของเราให้มากๆ เพราะเค้าจะไวต่อความรู้สึกทางลบมากเป็นพิเศษ


อยากให้เค้าเข้มแข็ง เลิกคิดฆ่าตัวตาย ทำยังไง?
ไม่มีวิธีไหนดีที่สุดสำหรับทุกคน ต้องปรับๆไปเหมาะสมตามแต่ละบุคคล หากเราเป็นบุคคลใกล้ชิด เราอาจจะพอรู้ว่าวิธีไหนจะเหมาะสำหรับเค้า แต่หากเราไม่ใช่บุคคลใกล้ชิด วิธีพื้นฐานที่พอจะนำมาใช้ได้กับทุกคน ก็คือให้เค้าเห็นความจริง หรือสัจธรรมบนโลกใบนี้นั่นเอง ให้เค้าได้รู้ว่า..

1.คนทุกคนเกิดมาก็ทุกข์เหมือนๆกัน หลายๆคนอาจจะทุกข์เรื่องที่หนักหนาสาหัสนัก หลายๆคนก็อาจจะทุกข์เรื่องเล็กน้อยแต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของหัวใจเค้า แต่ไม่ว่าจะยังไงคนทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องเจอกับความทุกข์ทั้งสิ้น ไม่อาจหลุดรอดไปได้ ฉะนั้น ในเมื่อทุกคนในโลกก็เจอความทุกข์ และ(เกือบ)ทุกคนก็พยายามจนผ่านมันไปได้ เราก็ต้องทำได้ สู้! และขอแถมอีก1คำคมที่กลั่นกรองขึ้นมาจากประสบการณ์ชีวิต "ความสุขไม่เคยให้อะไรกับเราเลย ความทุกข์สอนให้เราเติบโตเป็นมนุษย์ที่แข็งแกร่ง"

2.ทุกอย่างมันมีการเปลี่ยนแปลง
ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ไม่ผันแปรไปตามวันเวลา 
ไม่มีความรู้สึกใดคงอยู่ชั่วนิรันดร์ 
ไม่มีชีวิตไหนที่เป็นอมตะ

3.ไม่มีตัวเรา ไม่มีตัวเขา ไม่มีของเรา ไม่มีของใคร

สัจธรรมทั้ง3ข้อนี้ ก็คือความจริงที่พระพุทธเจ้าได้สอนได้บอกเหล่าสัตว์ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างเราๆ หรือก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั่นเอง

Jun 4, 2014

Himizu รักรากเลือด


ดูจบแล้วรู้สึกหดหู่ใจมาก ไม่ใช่เพราะหนังไม่ดีอะไร แต่อิจฉาสุมิดะ แม้ว่าสุมิดะจะถูกพ่อแม่เกลียดชัง แต่ก็มีคนนึง(ที่แอบชอบสุมิดะ เพื่อนร่วมห้องชื่อชาซาว่า)ได้รับสัญญาณSOSจากสุมิดะ ไม่เพียงแค่นั้นเธอผู้นี้รู้จักตัวตนสุมิดะเป็นอย่างดี และก็รักสุมิดะอย่างที่ตัวตนสุมิดะเป็นจริงๆ น่าอิจฉามั้ยหล่ะ คืออารมณ์แบบว่า เฮ้ สุมิดะ เธอไม่ต้องเปลี่ยนแปลง หรือปรับตัวอะไรเลย ชั้นชอบที่เธอเป็นเธอแบบนั้นจริงๆ ..

ในชีวิตคนเรา จะได้เจอคนอย่างชาซาว่าสักครั้งมั้ย หากสมมติโชคดีที่ได้เจอจริงๆ ก็คงโชคร้ายด้านอื่น เพราะเอาโชคดีมาใช้ตรงนี้หมดแล้ว ฮ่าๆ (ขำทั้งน้ำตา เพราะหัวเราะไม่ออกจริงๆ) แต่มันก็คุ้มใช่มั้ยหล่ะ ที่เราจะได้เจอ"เธอ" และให้"เธอ"รักเราในแบบที่เราเป็น แม้ว่าเราจะรำคาญ"เธอ"มาตลอด สุดท้ายเราก็อดรัก"เธอ"ไม่ได้อยู่ดี