Jun 24, 2014

We - We Japanese Edutainment School

สำหรับภาษาญี่ปุ่นและการเรียนภาษาต่างๆนั้น เราคิดว่าหากมีความขยันหมั่นเพียรอย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้เรามีพัฒนาการด้านภาษามากยิ่งๆขึ้นไปได้ไม่ยากนัก ซึ่งส่วนใหญ่คนมักจะแพ้จิตใจอันไม่แน่วแน่ของตัวเอง เลยล้มเลิกกลางคันกันเสียมาก แต่หลายๆคนก็สู้กับความท้อแท้ใจ ความขี้เกียจเหล่านั้นจนไปถึงฝั่งฝัน

ความขยันหมั่นเพียรที่ต้องทำเป็นกิจวัตร เช่นการท่องศัพท์คำใหม่ๆเพิ่มขึ้นทุกๆวัน การทบทวนคำศัพท์เก่าๆ(จะได้ไม่ลืม) การคัดคันจิทุกๆวัน(ได้ทั้งศัพท์ได้ทั้งการอ่านที่ถูกต้อง) การหัดแต่งประโยคบ่อยๆ(เพื่อทบทวนแกรมม่าที่เคยเรียนมา) การซ้อมบทพูดซ้ำๆจนชินปาก(ควรฟังต้นฉบับญี่ปุ่นประกอบด้วยเพื่อสำเนียงจะได้เหมือนเจ้าของภาษา) จนสามารถพูดตอบโต้ได้ทันทีไม่ต้องคิดรูปประโยค หรือแม้แต่การดูอะนิเมะบ่อยๆเพื่อจะได้พัฒนาทักษะการฟัง เหล่านี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราสามารถฝึกฝนด้วยตัวเองที่บ้านได้เมื่อเราแบ่งเวลาให้มันทุกๆวัน

อันนี้เรื่องส่วนตัว ข้ามไปได้เลย
สำหรับเรา ในอดีตเคยอ่านมินนะเล่ม3(6บทหลัง)และเล่ม4เองและก็ไปสอบผ่านN4แบบชิวๆ (คือถ้าจำศัพท์ในมินนะ4เล่มได้หมด การไปสอบN4แทบจะไม่มีคำศัพท์คำไหนแปลไม่ออก) เลยคิดเอาเองว่าการเรียนตามสถาบันต่างๆไม่จำเป็นอีกต่อไป นอกจากจะเรียนเพื่อเป็นการเสริมทักษะที่ขาดเท่านั้น ทีนี้พอเริ่มอ่านส่วนที่เป็นแกรมม่าเองเพื่อจะไปสอบN3 พบว่ามันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด อาจจะเพราะหนังสือที่เรามี ดีไม่พอ หรืออาจจะเพราะเราเองที่เข้าใจอะไรยาก หลังจากได้อ่านหนังสือเองจนท้อแท้ใจว่าเราคงไม่สามารถไปต่อได้ ก็เลยหยุดการอ่านการทบทวนทุกอย่างที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นเป็นเวลา4เดือนเต็มๆ(ดูแต่อะนิเมะอย่างเดียว) เพราะคิดว่าเราคงมาได้เท่านี้จริงๆ

จนวันนึงเราก็มาคิดดูว่า ถ้าเราอ่านเองไม่รู้เรื่อง ก็หาที่เรียนแต่แกรมม่าดีกว่ามั้ย เพราะว่าในส่วนอื่นๆ(เช่น ศัพท์ คันจิ บทสนทนา ฟัง) เราคิดว่าเราพอจะทบทวนด้วยตัวเองไหวและพอจะจัดสรรเวลาในทุกๆวันได้ เหตุที่เราไม่อยากกลับไปเรียนทักษะครบทุกด้านเหมือนสมัยเรียนสสท. เพราะเราคิดว่ามันช้าไปสำหรับเรา กว่าจะจบหลักสูตรล่อกันไปเป็นปีครึ่ง-2ปี (สำหรับหลักสูตรจากระดับN4ไปN3) ซึ่งมันอาจจะเหมาะสำหรับคนที่อยากจะค่อยๆไป+วันธรรมดาไม่ค่อยมีเวลาทบทวนมากกว่า

เข้าเรื่องโรงเรียนสอนภาษาweตรงนี้
แล้วเราก็ได้มาเจอสถานบันสอนภาษาญี่ปุ่นที่เรากำลังหาอยู่ คือสอนแกรมม่าล้วนๆ ไม่ต้องรอเปิดคอร์สให้วุ่นวาย เพราะเรียนผ่านระบบ sa-mu-ra-i ของโรงเรียน(เหมือนเปิดแผ่นเอา) ซึ่งสามารถไปเรียนที่สถาบัน หรือจะเลือกจ่ายเพิ่มอีก1พันบาทแต่สามารถเปิดเรียนจากคอมฯที่บ้านได้เลยไม่ต้องมาที่สถาบัน

นั่นก็คือโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นwe http://www.we-jpschool.com/
หมายเหตุ : ที่โรงเรียนก็มีเปิดคอร์สสอนสดแบบครบทุกทักษะเหมือนกับโรงเรียนทั่วๆไปด้วย แต่ส่วนตัวไม่เคยเรียนสด ฉะนั้นในที่นี้จะขอพูดถึงแค่การเรียนผ่านระบบsa-mu-ra-i@homeเป็นหลัก

การเดินทาง
จะมีสาขาอยู่3สาขาหลักๆ คือ บางกะปิ วงเวียนใหญ่ และอนุสาวรีย์ แต่สาขาที่เราไปสมัครเรียนคือวงเวียนใหญ่ อยู่ชั้น1 อาคารM Place ถ้านั่งBTSมาลงสถานีวงเวียนใหญ่แล้วเดินมาก็ได้ แต่ไกลโคตร ควรต่อรถสาธารณะอื่นๆมาจะดีกว่า สำหรับผู้ที่เอารถมา ใต้ตึกมีที่จอด(ที่ดูๆแล้วเหมือนจอดได้ไม่กี่สิบคัน) แต่อัตราค่าจอดรถเป็นยังไงไม่แน่ใจ เพราะตอนไปสมัครเรียนจอดไว้ด้านนอกตึก สำหรับผู้เรียนผ่านระบบsa-mu-ra-i@home ก็คือมาแค่วันสมัครเรียนหรือใช้วิธีโอนเงินแต่ว่าก็ต้องมารับหนังสือที่สถาบันอยู่ดี จากนั้นก็เปิดดูจากที่บ้านได้เลย สะดวกมากไม่ต้องเสียเวลาเดินทางด้วย

หากเรียนผ่านระบบsa-mu-ra-i@we ก็คือเรียนเปิดแผ่นเหมือนกันกับเรียนที่บ้านเลยแต่มานั่งเรียนที่weตามแต่สาขาที่เราสมัครไว้ (อาจจะต้องจองเวลาก่อนเข้าไปเรียนด้วย เพราะคอมฯมีจำนวนจำกัด) ส่วนการสอนสดจะมีแค่ที่สาขาอนุสาวรีย์เท่านั้น




การสมัครเรียน
จริงๆตอนแรกเราตั้งใจจะไปลองเรียนฟรีดูก่อนว่าไอ้ระบบsa-mu-ra-iเนี่ยมันเป็นยังไง แล้วอาจารย์ที่สอน สอนโอเคมั้ย พอไปทดลองเรียนเสร็จเราคิดว่าโอเค เป็นอะไรที่เราหาอยู่พอดี ก็สมัครเรียนแล้วก็โอนเงินผ่านมือถือที่เคาเตอร์สมัครเรียนเลย (เค้าไม่มีให้จ่ายสดต้องโอนเท่านั้น) ถ้าโอนวันอื่น เราต้องมารับหนังสือที่สถาบันอีกรอบ เราขี้เกียจมาหลายที เลยจ่ายให้จบๆไป แล้ววันถัดไปเราก็สามารถลงโปรแกรมของสถาบัน ล็อกอินจากคอมฯที่บ้านแล้วเริ่มเรียนได้เลย

พนักงานที่สาขาวงเวียนใหญ่ที่เราไปใช้บริการสมัครเรียน พูดจาดีมากให้บริการดีมาก ดีกว่าทุกโรงเรียนที่เคยสอบถามข้อมูลมา ต้องขอชมว่าเค้าเทรนมาดี

คอร์สเรียน
คอร์สของเราที่สมัครไว้เป็นคอร์สเตรียมสอบJLPT ส่วนใหญ่เนื้อหาที่เรียนจึงเป็นแกรมม่าล้วนๆ แต่ก็มีสอนคำศัพท์ การอ่าน คันจิ และฟังด้วย แต่เน้นแกรมม่าเป็นหลัก เวลาเรียนที่บ้านก็เหมือนเรียนในห้องจริงๆเลยคือเปิดหนังสือเรียนตามบทแล้วก็มีสมุดจด1เล่ม (จดเยอะมาก) เวลาอาจารย์ให้ทำแบบฝึกหัด เราก็ทำ ถ้าทำไม่ทันอาจารย์กำลังจะเฉลยก็กดหยุดไปก่อนทำเสร็จค่อยplayต่อ อันไหนฟังไม่ทันจดไม่ทันก็กดย้อนกลับไปฟังใหม่จดใหม่ อันไหนจะเรียนซ้ำก็เปิดเรียนซ้ำได้

เนื่องจากต้นฉบับที่เราดูๆก็อัดมาจากคอร์สที่อาจารย์สอนสด ฉะนั้นใน1ครั้งการเรียน (ประมาณ3ชั่วโมง) ก็จะแบ่งเป็น2disc เราก็เปิดเรียนเรียงไปเรื่อยๆ อันไหนที่เราเปิดขึ้นมาเรียน จะมีอายุ7วัน หลังจากนั้นจะเปิดดูไม่ได้อีก ในส่วนนี้เราเข้าใจว่าเค้าต้องทำมาไว้กันพวกที่จะเรียนคอร์สเดียวกันแต่ฉลาดซื้อคอร์สแค่คนเดียว แล้วคอมฯก็มาแบ่งกันใช้ประมาณนี้

แต่ว่าสมมติเราอยากจะกลับไปเรียนอันเก่าๆที่มันหมดอายุ7วันไปแล้ว มันก็มีเครดิตอยู่ประมาณ28เครดิตซึ่งเราสามารถใช้ได้ 1เครดิตก็จะให้อายุใหม่7วันกับอันที่เราเคยเปิดดูและหมดอายุไปแล้ว แต่ถ้าเครดิตตรงนี้หมด ทีนี้ก็ไม่มีทางกลับไปเรียนอันที่หมดอายุไปแล้วได้อีก ทั้งนี้คอร์สเรียนนึง จะสามารถเรียนได้ประมาณ4-5เดือนแล้วแต่คอร์ส คือถ้าคอร์สหมดอายุแล้วก็จะไม่สามารถเปิดอันไหนๆเรียนได้อีก ฉะนั้นต้องรีบเรียนให้ครบทุกแผ่นก่อนจะหมดอายุคอร์ส

ระบบ sa-mu-ra-i@home
นอกจากจะเรียนบทเรียนตามคอร์สที่เราซื้อเอาไว้แล้ว ยังมีระบบส่วนอื่นๆให้ใช้เมื่อเราล็อกอินเข้าสู่ระบบ มีหลายอย่างที่เราคิดว่าดีและได้ใช้บ่อยๆ เช่น

1.ระบบการถาม-ตอบกับอาจารย์ เนื่องจากเราไม่ได้เรียนกับอาจารย์แต่เรียนจากคอมฯ หากเรามีข้อสงสัยอะไรมันก็มีช่องทางให้เราได้สื่อสารโดยตรงกับอาจารย์ โดยสามารถส่งคำถามไปถามอาจารย์ได้เลย แต่อาจารย์จะมาตอบช้าหน่อย บางคำถามเราถามไปเป็นอาทิตย์อาจารย์ถึงค่อยมาตอบ (ปกติจะส่งไปถามอ.ปุ๊ เพราะคอร์สที่เรียนเป็นคอร์สที่อ.ปุ๊สอน) และเราก็ต้องคอยเข้าไปกดดูตรงส่วนคำถามว่าอาจารย์เข้ามาตอบรึยัง

2.Everybody's Dic ถือว่าเป็นคลังคำศัพท์ที่มีเยอะมาก พิมพ์คันจิตัวเดียวก็มาเพียบ ชอบมาก ทำให้เราท่องศัพท์ทีเดียวได้หลายๆคำที่มีคันจิมาจากตัวเดียวกัน แต่บางคำเสิชในนี้ไม่เจอ ก็พึ่ง longdo เอา

3.Kotoba Parade เกมทายคำศัพท์ ช่วยในการฝึกจำคำศัพท์ โดยเลือกระดับที่ต้องการฝึก หรือเราสามารถทดสอบชุดคำศัพท์ของเราเองก็ได้โดยต้องเข้าไปเพิ่มคำศัพท์ของเราก่อนแล้วค่อยเริ่มทดสอบ

จริงๆยังมีส่วนอื่นๆอีก แต่ส่วนใหญ่เราจะใช้แค่3อันนี้หลักๆ

อาจารย์ผู้สอน
คอร์สที่เราสมัครไว้ เราเรียนกับอาจารย์ปุ๊ อาจารย์สอนแกรมม่าดีมาก ไม่ค่อยนอกเรื่อง และจะอธิบายเรื่องที่เข้าใจยากให้เข้าใจได้ง่ายๆ ส่วนตัวเราชอบสไตล์ที่อาจารย์สอนมาก

แต่บางทีอาจารย์จะมีการอ่านคันจิผิดหรือเขียนผิดบ้าง ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องคันจิก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร แต่เพื่อความชัวร์ ถ้าจะเอาคันจิที่อาจารย์สอนมาท่อง ควรจะเอาไปเสิชในคลังคำศัพท์หรือเปิดdicให้เรียบร้อยก่อนเสมอ

ค่าเรียน
คอร์สเตรียมสอบวัดระดับ ระดับยิ่งสูงยิ่งแพง ถ้าเรียนที่weไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่ม ถ้าเรียนที่บ้านจ่ายเพิ่ม1พันบาท ยกตัวอย่างเรียนN3 ราคาแบบ@homeเท่ากับ8พันและค่าหนังสืออีก250บาท สำหรับเราคิดว่าค่าเรียนไม่แพงถ้าเทียบกับความรู้ที่ได้มาจากอาจารย์

สรุป
ในแง่ของระบบการเรียนเองที่บ้าน ก็เป็นโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่เหมาะสำหรับผู้ไม่ชอบการเดินทาง(หรือทำงานแบบไม่เป็นเวลาจึงอาจจะไม่สามารถไปเรียนในวันเวลาเดิมๆได้ทุกสัปดาห์) เพราะน่าจะเป็นสถาบันเดียวในตอนนี้ที่มีให้เรียนที่บ้านได้ด้วย และมาตรฐานการสอนของอาจารย์ก็ถือว่ามีคุณภาพ จะมีข้อเสียตรงคันจินิดหน่อย นอกจากนี้ก็มีให้ทดลองเรียนก่อนได้ จึงสามารถประเมินได้ก่อนสมัครเรียนว่าวิธีที่อาจารย์สอนเหมาะกับตัวเรามั้ย เป็นสิ่งที่เราหาอยู่รึเปล่า

No comments:

Post a Comment