Jun 11, 2014

สสท - โรงเรียนภาษาและวัฒนธรรม สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)


เรียนภาษาญี่ปุ่นมาก็หลายปี (เริ่มจากปี2012 มาถึงวันนี้ก็2ปีกว่าแล้วสินะ) มาถึงวันนี้ก็มีโอกาสได้เรียนภาษาญี่ปุ่นจากหลายๆสำนัก เลยจะขอเขียนถึงแต่ละโรงเรียนอย่างเป็นกลาง เผื่อใครที่อยากหาที่เรียน จะได้พอมีไอเดีย

ตรงนี้อ่านข้ามไปได้ เรื่องส่วนตัวล้วนๆ
คร่าวๆ ก่อนแนะนำโรงเรียน แนะนำตัวก่อน ส่วนตัวเป็นคนที่ไม่ถนัดทางด้านภาษาเลย สมัยเรียนภาษาไทยตอนเด็กๆก็ไม่เคยได้เกรดเกิน2เลย เพราะว่าไม่เข้าใจแกรมม่าภาษาไทยเลยพูดตรงๆที่ทุกวันนี้พูดฟังเขียนอ่านได้ เพราะมันต้องใช้ทุกวันแค่นั้นเอง หลังๆดันคุยกับคนงานพม่ามากไปเลยทำให้เดี๋ยวนี้พูดเพี้ยนๆสลับตำแหน่งแบบคนพม่าเลย เช่นคำว่า หมอนพ่อ แต่พูดเป็น พ่อหมอน -''- ฉะนั้นอย่าไปพูดถึงภาษาอังกฤษที่เรียนมาเกือบทั้งชีวิตเลย เกินเยียวยาไปมาก นอกจากนี้เคยถูกที่บ้านบังคับให้เรียนภาษาจีน ก็มีโอกาสได้เรียน2-3คอร์ส อารมณ์ประมาณว่าคอร์สขั้นต้นของทุกสถาบันผ่านมาหมดแล้ว เรียนไม่เคยจบคอร์ส เลิกก่อนทุกทีแล้วก็ย้ายไปเริ่มต้นเรียนที่ใหม่ ถึงที่สุดพ่อแม่ก็ได้จ้างครูคนจีนมาสอนภาษาจีนที่บ้าน สุดท้ายก็เลิกเพราะไม่ชอบจริงๆ มันไม่เข้าหัวเลย ได้แต่ขำที่อ.สอนไปวันๆ แล้วก็ได้รู้ตัวอย่างจริงจังว่าเราคงไม่ชอบภาษาใดๆในโลกนี้เลย

ทีนี้พอดีว่าตอนขึ้นปีใหม่ปี2012 ไปเที่ยวญี่ปุ่นแบบไปเองไม่ง้อทัวร์ ก็มีโอกาสได้ไปเที่ยวต่างจังหวัด คนญี่ปุ่นที่ได้พบเจอทุกคนพูดญี่ปุ่นใส่แบบไม่แคร์ฝั่งผู้รับสารอย่างเราเลย กลับมาเลยตั้งใจว่าคราวนี้แหละ จะไปเรียนภาษาญี่ปุ่นจริงๆจังๆละ ถึงแม้เป็นคนไม่ถนัดสายภาษาเลย​ (ถนัดพวกวิเคราะห์กับตัวเลขมากกว่ามาก) ก็จะลองดูสักตั้ง เพราะเดิมทีก็ชอบอ่าน+ดูการ์ตูน(ญี่ปุ่น)มาตั้งแต่อยู่ประถม (มีฟังเพลงด้วยบางวงที่ดังๆ) จริงๆตอนอยู่มัธยมก็เคยไปสมัครเรียนญี่ปุ่นด้วย ไปคนเดียวเลย แบบว่าบ้าญี่ปุ่นตั้งแต่เด็กๆ แต่วันนั้นไปสมัครเรียนแล้วคอร์สเต็มเลยอดเรียน แล้วเราก็เหมือนไม่ได้มีแรงจูงใจมากพอมั้ง ติดเกมด้วยอะไรด้วยสุดท้ายเลยไม่ได้ไปสมัครใหม่ และลืมเลือนเรื่องราวเหล่านี้ไป จนกระทั่งตอนนี้..




เข้าเรื่องโรงเรียนสสทตรงนี้
สำหรับโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นโรงเรียนแรกที่จะแนะนำคือที่นี่เลย ชื่อเต็มๆคือโรงเรียนภาษาและวัฒนธรรม สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) หรือทุกคนเรียกย่อสั้นๆกันว่า สสท http://www.tpa.or.th/slc/ ต่อไปจะขอแยกเป็นหมวดหมู่ให้เลือกอ่านได้ง่ายละกัน

การเดินทาง
โรงเรียนตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท29 มีที่จอดรถสำหรับผู้นำรถยนต์มา แต่บางทีก็ที่จอดเต็ม ต้องไปจอดนอกโรงเรียนแทน(แต่ก็ยังอยู่ในซอยสุขุมวิท29นะ) วิธีการเดินทางที่สะดวกกว่าคือBTS สามารถลงได้ทั้งสถานีพร้อมพงษ์ และสถานีอโศก เพราะระยะทางเดินมาโรงเรียนจากทั้งสองสถานีถือว่าพอๆกัน (ถ้ามาจากทางรถไฟใต้ดินก็ลงสถานีสุขุมวิท)



อาหารการกินในโรงเรียน
มีร้านอาหารเล็กๆในโรงเรียนอยู่ด้านข้าง (แต่ทางเข้าจะหายากนิดนึง) ส่วนในอาคารเรียน ชั้น1มีซุ้มขายน้ำและขนมกินเล่นพวกไอติมและขนมปัง และมาม่าคัพสำหรับคนหิวและรอนานไม่ได้

ร้านหนังสือ
เลยจากร้านขายน้ำมาหน่อย จะมีร้านหนังสือสสทอยู่ อย่างที่รู้กันว่าสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี(ไทย-ญี่ปุ่น) เค้ามีการพิมพ์หนังสือขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นมากมายที่ใช้กันหลายๆเล่มก็เป็นของที่นี่ เรียกได้ว่ามีหนังสือให้เลือกซื้อ(ไปประดับบ้าน)ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นจนถึงระดับสูง สมาชิกสสทซื้อหนังสือได้ลด15% แบบไม่ต้องรองานหนังสือ และมีโปรโมชั่นร่วมลดราคาจากบัตรrabbitเป็นบางโอกาส อันนี้ต้องติดตามโปรโมชั่นกันเอง

ห้องสมุด
ที่นี่มีห้องสมุดอยู่ชั้นสอง แทบไม่เคยเข้าไปเลย เคยเข้าไปครั้งเดียว เงียบสงบดีและไม่ค่อยมีคน แต่เข้าไปแปบเดียว เลยไม่รู้ว่าหนังสือในนั้นเป็นยังไงมั่ง

ห้องเรียน 
ห้องเรียนอยู่ตั้งแต่ชั้น2ถึงชั้น6 ห้องเล็กบ้างห้องใหญ่บ้างแล้วแต่จำนวนผู้เรียนในคอร์สนั้นๆ มีลิฟท์และบันไดให้เลือกใช้ โต๊ะเรียนที่นี่เป็นโต๊ะแบบโต๊ะยาวนั่งได้2คน ซึ่งเราชอบมาก เพราะมันวางหนังสือวางอะไรได้เยอะดี ที่อื่นส่วนใหญ่จะเป็นโต๊ะแบบเลคเชอร์ มันวางของได้น้อยไม่ค่อยสะดวกเท่า

คอร์สเรียน
คอร์สเรียนที่นี่สำหรับในการเริ่มต้น เมื่อก่อนเป็นMNเรียนทีละ6บทต่อคอร์ส แต่เดี๋ยวนี้จะเป็น JD ซึ่งจะเรียนคอร์สละ3บท หรือ1ใน4ของเล่มมินนะ เรียนจบคอร์สก็จะต้องสอบให้ผ่านเพื่อจะได้ไปเรียนคอร์สถัดไป อย่างที่เราเรียนเป็นคอร์สวันเสาร์ ก็จะเรียนครั้งละ4ชั่วโมง(รวมเบรค) อาจารย์ไทยสอน2ชั่วโมง อาจารย์ญี่ปุ่นสอน2ชั่วโมง อ.ไทยจะเป็นคนสอนแกรมม่า การอ่านและคำศัพท์ อ.ญี่ปุ่นจะเน้นสนทนา คำศัพท์และคันจิ ตีคร่าวๆว่าจะเรียนจบมินนะทั้ง4เล่มก็ต้องเรียนทั้งหมด16คอร์สนั่นเอง สามารถสมัครเรียนได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะในคอร์สขั้นต้นมีเปิดทุกเดือน ส่วนคอร์สระดับสูงกว่าขั้นต้นขึ้นไปก็จะแล้วแต่คอร์สนักเรียนเก่าจะเรียนจบเมื่อไร ก็ไปรอเรียนพร้อมเค้าเปิดว่าง่ายๆ

ความต่อเนื่องของคอร์สจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคนที่จะเรียนต่อมีเยอะน้อยแค่ไหน ถ้าคนในห้องที่เรียนมาด้วยกันไม่เรียนต่อกันเยอะ ทำให้คนที่จะต่อคอร์สถัดไปมีไม่ถึง7-8คน ก็อาจจะต้องรอให้คนถึงจำนวนก่อนคอร์สจึงจะได้เปิด สำหรับคนที่สอบไม่ผ่านในวันปิดคอร์ส ก็ต้องรีบไปสอบซ่อม ถ้าสอบซ่อมผ่านเราก็ยังได้เรียนกับเพื่อนกลุ่มเดิมต่อ ไม่ต้องกลัวว่าสอบตกแล้วจะไม่ได้ไปต่อ สำหรับคนที่เคยเรียนที่อื่นมาก่อน ก็มาสอบวัดความรู้ก่อนจากนั้นก็จะได้ไปเรียนในคอร์สที่เหมาะสมต่อไป

อาจารย์ผู้สอน
เนื่องจากเวลาค่อนข้างเยอะต่อการมาเรียนแต่ละครั้ง ตั้ง4ชั่วโมง ส่วนตัวเราคิดว่าอ.สอนค่อนข้างช้า แต่มันก็ทำให้พื้นฐานของเราแน่นมากเช่นกัน ฉะนั้นที่นี่จึงน่าจะเหมาะสำหรับคนที่ไม่รีบเร่งด้านเวลา แต่อยากจะพื้นแน่นๆ อ.ที่นี่แต่ละคนคุณภาพมากๆ คะแนนให้ร้อยละ90ถือว่าอ.ที่นี่โอเคมากเลย แต่ข้อเสียคือเราไม่มีโอกาสลงเรียนกับอ.ที่ชอบได้เอง ต้องแล้วแต่เค้าจะจัดมาว่าคอร์สไหนจะได้อ.อะไร ฉะนั้นถ้าเรียนไปเรื่อยๆหลายๆคอร์สก็อาจจะได้เจอกับอ.เกือบทั้งโรงเรียนก็ได้ แต่เราโชคดีมากได้อ.ที่ชอบมากๆคนเดิมติดๆกันหลายๆคอร์ส ทำให้การไปเรียนทุกวันเสาร์คือความสุขที่ตั้งตารอคอย

สำหรับผู้โชคร้าย คอร์สแรกที่ลงเรียนอาจจะได้เจอกับอาจารย์ที่สอนน่าเบื่อสุดๆแล้วจะกลายเป็นไม่ชอบภาษาญี่ปุ่นไปเลยก็ได้ เพราะบางทีวันไหนที่อาจารย์ที่สอนเราไม่มา เราก็จะได้มีโอกาสเรียนกับอาจารย์คนอื่นๆที่มาสอนแทน ซึ่งบางทีคนที่มาแทนสอนแย่และเราไม่ชอบเลย แต่โชคดีที่ไม่เคยเรียนกับอ.ท่านนั้นทั้งคอร์ส

การสอบเลื่อนชั้น
เมื่อเราเรียนจนมาถึงวันสุดท้ายของคอร์สเราจะต้องสอบเพื่อเลื่อนไปเรียนชั้นต่อไป สำหรับผู้ที่ตั้งใจเรียน ทบทวนตลอดทุกๆวัน ข้อสอบจัดว่าอยู่ในระดับง่าย สอบยังไงก็ได้เกิน90% แต่ถ้าเวลาที่ทบทวนมีน้อย ก็อาจจะต้องท่องศัพท์และทบทวนมากหน่อยก่อนสอบ การสอบก็จะมีสอบกับอ.ไทยและอ.ญี่ปุ่น อ.ไทยก็สอบกระดาษ คือแกรมม่า เขียนคันจิ สอบฟัง ประมาณนี้ สอบอ.ญี่ปุ่นใช้เวลาสั้นๆ คนละไม่เกิน10นาที สอบinterview (ทีละคนข้างนอกห้อง บางทีก็ห้องข้างๆถ้าว่าง) จากสิ่งที่เรียนมาในคอร์สนั้นๆ ก็ไม่ยากมากถ้าเตรียมตัวมาดี จะมีพูดผิดกันบ้าง แต่อ.ส่วนใหญ่ก็จะไม่กดคะแนนมากนักในพาร์ทนี้

ส่วนที่ดีของที่นี่คือ ถ้าสอบได้คะแนนสูงที่สุดในห้องและคะแนนเกิน95% คอร์สถัดไปค่าเรียนจ่ายแค่ครึ่งเดียว เหมือนได้เป็นนักเรียนทุนเรียนดีประมาณนั้น (แต่ถ้าหากคนสูงสุดและเกิน95%มี2คน เค้าจะดูจากคะแนนการมาเรียน คนไหนมาเรียนมากกว่าคนนั้นก็จะได้ไป)

ค่าเรียน
เมื่อก่อนค่าเรียนที่นี่ถือว่าถูกมาก แต่เดี๋ยวนี้ปรับราคาขึ้นไปเท่าๆกับสถาบันอื่นละ เคยได้ยินผู้ใหญ่คนนึงเคยบอกว่าเมื่อ20ปีก่อนค่าเรียน500บาทเอง ฮ่าาา เดี๋ยวนี้ไม่มีละราคาแบบนั้น ถ้ามี คนคงมานั่งเรียนกันแน่นเต็มห้องแน่ๆ

สรุป
ถือเป็นอีกโรงเรียนที่แนะนำใครไปแล้วไม่ผิดหวัง ยกเว้นดันหวังไว้มากแล้วไปเจออ.ที่สอนไม่ดีที่มีเพียงส่วนน้อยมาก ถ้าไม่รีบเรื่องเวลาและต้องการพื้นฐานแน่นๆ ค่าเรียนพอประมาณไม่แพงไป สถานที่เรียนเดินทางไปได้สะดวก ที่นี่ก็น่าจะเหมาะสม แต่ถ้าเป็นคนชอบเร็วๆ เรียนไวๆ ได้N2ภายใน2ปีนับจากวันแรกที่เรียนภาษาญี่ปุ่น ที่นี่คงตอบโจทย์นั้นได้ไม่ดีนัก ทั้งนี้ทั้งนั้น ความสามารถในการเรียนภาษาญี่ปุ่นหรือภาษาใดๆ ให้ได้ดีนั้น ก็คงต้องขึ้นกับตัวผู้เรียนด้วยว่าตั้งใจและขยันมากน้อยแค่ไหน ถ้าเปิดหนังสือเรียนแค่เวลาที่ไปเรียนที่โรงเรียน ท่องศัพท์แค่ก่อนสอบ อยู่บ้านไม่เคยทบทวนอะไรเลยแม้แต่คันจิตัวเดียว ก็ควรจะตั้งคำถามกับตัวเองว่ามาเรียนทำไม ใครบังคับมารึเปล่า!?

No comments:

Post a Comment