Jun 13, 2014

JF - ฝ่ายภาษาญี่ปุ่น เจแปนฟาวน์เดชั่น

อย่างที่ทุกคนรู้กันดีเมื่อเราเรียนภาษาญี่ปุ่นไปเรื่อยๆ จนระดับภาษาของเราเริ่มสูงขึ้นๆ คนที่เรียนมาด้วยกันจะค่อยๆหายหน้าไปทีละคนๆ (บางทีก็หายไปทีละหลายๆคน) อย่างที่มีผู้กล่าวไว้ว่า ยิ่งสูงยิ่งหนาว เส้นทางการเรียนภาษาญี่ปุ่นก็ใช่ว่าจะแตกต่างกับคำกล่าวนั้นไม่ ซึ่งกลายเป็นปัญหาของผู้เรียนที่เน้นแนวทางการเรียนแบบมีครูผู้สอน เพราะคอร์สที่ไปจองเอาไว้ รอคนมาสมัครครบจำนวนเพื่อจะเปิดเรียนนั้น ก็ต้องรอกันเป็นปี หรือรอกันข้ามปีเลยทีเดียว ฉะนั้นเมื่อสามารถเรียนจนจบมินนะ4เล่มเป็นอย่างน้อย (หรือผ่านN4) ถ้าคิดไม่ออกว่าจะไปลงเรียนที่ไหนดี ก็ต้องขอแนะนำโรงเรียนนี้เป็นที่แรกที่ต้องคิดถึง...




อีกหนึ่งโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงโด่ดเด่นในเรื่องของราคาและคุณภาพ ฝ่ายภาษาญี่ปุ่น เจแปนฟาวน์เดชั่น(Japan Language Department - Japan Foundation) ส่วนใหญ่เรียกกันสั้นๆว่าJFนั่นเอง http://www.jfbkk.or.th/japan_course_01th.php เพื่อให้ง่ายต่อการอ่าน จะเขียนแยกเป็นหมวดหมู่ตามสไตล์

การเดินทาง
ตั้งอยู่ชั้น10 เสริมมิตรทาวเวอร์ที่อยู่ตรงแถวอโศก ถ้ายนำรถยนต์มาก็สามารถจอดรถที่ตึกได้ ปั้มบัตรจอดรถกับทางโรงเรียนก็สามารถจอดได้1ชั่วโมงฟรี หรือวิธีการมาที่สะดวกกว่าก็คือ มารถไฟฟ้าBTSลงสถานีอโศก มาMRTก็ลงสถานีสุขุมวิท แล้วเดินออกมาexit1(ของMRT) เดินต่ออีกนิดนึงก็มาถึงอาคารเสริมมิตร



อาหารการกินในโรงเรียน
เนื่องจากที่ตั้งอยู่บนตึกออฟฟิศจึงไม่สามารถจะมีร้านขายอาหารหรือของกินเล่นมาตั้งขายที่ชั้น10ได้ ฉะนั้นหากต้องการซื้ออะไรมา(แอบ)กินในห้อง(ซึ่งไม่ควรทำ) หรือจะหาร้านข้าวกิน ก็ควรกินจากterminal 21มาเลย (ชั้นบนสุดมีfood courtที่ถือว่าถูกมากที่สุดในกรุงเทพฯ) ถ้าจะกินร้านอาหารต่างๆ หรือของกินเล่นก็มีมากมายให้เลือก แนะนำว่าหากหิวก็ควรจัดมาจากที่อื่นให้เรียบร้อย ถ้าไม่ได้แวะที่อื่นเลย ทางเลือกสุดท้ายที่ใกล้สุดคือร้านสะดวกซื้อใต้ตึก ซึ่งเป็นแบรนด์Lawson108เพิ่งเปิดไม่นานนี้ มีขายอาหารbentoและของกินอื่นๆแบบมีโต๊ะให้นั่งกินในร้านด้วย

ห้องสมุด
เป็นห้องสมุดสำหรับผู้รักภาษาญี่ปุ่นอย่างแท้จริง มาครั้งแรกก็หลงรักเลย เพราะไม่ใช่แค่หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นเยอะที่สุดแบบหาที่ไหนไม่ได้ ยังมีหนังสือญี่ปุ่นหลากหลายแนวให้อ่าน แผ่นเพลงญี่ปุ่น และหนัง+อนิเมะและอื่นๆอีกมากมาย นอกจากนี้ก็ยังมีหนังสือภาษาไทยที่เป็นหนังสือเรียนญี่ปุ่น หนังสืออ่านเล่นที่แปลมาจากญี่ปุ่น ฯลฯ ทั้งหมดนี้เข้าไปใช้บริการได้ฟรี แต่ถ้าต้องการยืมออก ต้องสมัครสมาชิกรายปี แต่ที่นี่ปิดทุกวันอาทิตย์และวันหยุด ดูรายละเอียดได้จากเว็บ http://www.jfbkk.or.th/libraryservice_th.php

เนื่องจากมีคนญี่ปุ่นมาใช้บริการเยอะเหมือนกัน ที่นี่เลยค่อนข้างเงียบ(ดี)มาก ไม่ค่อยมีเสียงคุยกันรบกวนผู้อื่น โต๊ะมีจำนวนมากพอสมควร สามารถนั่งอ่านหนังสือได้ทั้งวันแบบมีสมาธิอย่างมาก (ห้องสมุดอยู่ที่ชั้น10เหมือนกัน แต่จะอยู่แยกจากส่วนของโรงเรียนมาอีกฝั่ง)

การเข้ามาเรียน
ที่นี่เป็นระบบเปิดเรียน2ภาคการศึกษาต่อปี เทอมแรกของปีเรียนประมาณเดือนมิย.-กย.และเทอมที่2เรียนประมาณเดือนพย.-กพ. ช่วงเดือนพค.และตค.ของทุกปีก็จะมีการจัดการสอบเพื่อวัดระดับชั้นก่อนเข้าเรียน (หากใครสนใจจะเรียนที่นี่ก็ควรเข้าเว็บของโรงเรียนหรือเฟสบุคโรงเรียน https://www.facebook.com/jfkouzabkk เพื่อหาข้อมูลล่วงหน้าตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนและปลายเดือนกันยายน เพื่อเช็ควันสมัครสอบและวันสอบ) หรือหากสอบผ่านการสอบวัดระดับ JLPT ตั้งแต่N4,N3และN2 ที่มีอายุไม่เกิน2ปีก็เอามายื่นแทนการสอบได้

ข้อสอบที่ใช้สอบเพื่อวัดระดับเราว่าจะได้เรียนระดับไหน(สำหรับผู้ไม่มีผลJLPT)จะเป็นข้อสอบชุดเดียว เรียงจากง่ายไปยาก มีทั้งสอบฟัง เขียนคันจิ คำศัพท์ แกรมม่า บทความให้อ่าน คล้ายๆสอบวัดระดับJLPT เลยแต่ง่ายกว่า ในส่วนของคันจิและฟังเขียนตอบที่ได้ยินจะเป็นระดับต้นๆง่ายๆ ส่วนแกรมม่ามีตั้งแต่ง่ายไปยาก ส่วนบทความก็มีหลายบทความตั้งแต่แบบง่ายไปยาก ตอนเราไปสอบเคยออกบทความเหมือนเล่มเตรียมสอบวัดระดับเป๊ะๆเลย

เล่มนี้อ่ะ


การสมัครเรียน
หลังสอบผ่านได้ระดับชั้นกันแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการสมัครเรียน ก็ต้องมาแย่งกันลงเรียน เนื่องจากคอร์สมีหลายคอร์สเปิดให้เรียนก็จริง แต่เปิดน้อยกว่าจำนวนคนที่ต้องการมาเรียน แต่ส่วนใหญ่จะไปแย่งกันในระดับชั้นกลางหรือผู้ที่ผ่านN3 แต่ในระดับN4(หรือชั้นต้นกลาง)ก็ไม่เต็มกันง่ายๆ ยกเว้นคอร์สmarugotoที่จะสมัครเรียนก่อนคอร์สอื่นๆ ก็เลยจะเต็มไว เดี๋ยวนี้มีคอร์สmarugotoขั้นต้นด้วย น่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่ผ่านN5 อันนี้ไม่แน่ใจ สำหรับนักเรียนเก่าจะมีสิทธิ์ได้ลงทะเบียนเรียนก่อนนักเรียนใหม่คนละ1คอร์ส แต่จะไม่ขอพูดถึงรายละเอียดตรงนี้ละกันเพราะนักเรียนเก่าคงรู้ระเบียบดีอยู่แล้ว

ในวันสมัครเรียน เค้าจะเริ่มให้ลงทะเบียนตั้งแต่10โมงก็จริง แต่หากต้องการได้เรียนคอร์สที่อยากเรียนแบบชัวร์ๆ ควรจะมาเข้าคิวตั้งแต่8โมง หลังจากลงทะเบียนรอบเช้าเสร็จ (ซึ่งจะลงได้คนละคอร์สเท่านั้น) ก็สามารถไปเข้าคิวใหม่สำหรับรอลงทะเบียนรอบบ่ายได้เลย รอบบ่ายจะลงกี่คอร์สก็ได้ จากนั้นก็รอเปิดเรียนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

คอร์สเรียน
มีคอร์สเรียนประมาณ20คอร์สต่อเทอม รวมทุกระดับชั้น คอร์สนึงรับประมาณ15-25คนแล้วแต่คอร์ส แต่ละคอร์สมีทั้งเรียนต่อเนื่องไปเทอม2 และคอร์สแบบเรียนจบในเทอมเดียว แต่จะไม่มีคอร์สเรียนแบบเรียนยาวๆไปเรื่อยๆจนจบแล้วสอบเพื่อผ่านไประดับชั้นถัดไป แต่คอร์สจะเป็นประมาณเหมือนเสริมทักษะในระดับนั้นๆมากกว่า ฉะนั้นจึงเหมาะสำหรับผู้ที่เรียนเองอยู่แล้วมาหาอะไรเรียนเสริมมากกว่า จะมาเรียนรู้ทุกอย่างเพื่อสอบJLPTภายใน1หรือ2เทอม ถ้าเรียนแล้วต้องการจะไปเรียนในคอร์สที่ระดับสูงขึ้นกว่าเดิม ก็ต้องสอบวัดระดับของเจเอฟเอาหรือไม่ก็เอาคะแนนJLPTมายื่นเท่านั้น

คอร์สที่เปิดประมาณ45% จะเป็นคอร์สสำหรับระดับN3 ต้องเข้าใจหน่อยเพราะว่าคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่หาที่เรียนตามสถาบันแบบมีอาจารย์เป็นผู้สอนยากมาก ฉะนั้นแม้จะเป็นผู้เรียนด้วยตนเองบางทีก็ต้องมาหาที่เรียนเสริมบ้าง เผื่อว่ามีข้อสงสัยอะไรตรงไหนยังไง จะได้มีอาจารย์ระดับเทพไว้คอยถามส่วนที่ข้องใจ

อีก35%ก็จะเป็นคอร์สสำหรับระดับN2 ส่วนมากผู้ที่ผ่านN2แล้วมักจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาญี่ปุ่นกันอยู่แล้ว ฉะนั้นการเพิ่มพูนทักษะมักจะเป็นแบบการได้ใช้บ่อยๆจนเคยชิน อ่านบทความที่เป็นภาษาญี่ปุ่นอยู่เป็นนิจ แปลเป็นอาชีพอะไรทำนองนี้ แต่การเรียนรู้ไม่มีวันสิ้นสุด เพื่อพัฒนาทักษะในด้านที่อาจจะไม่ถนัดหรือเป็นส่วนที่ไม่ค่อยได้ใช้ ก็จำเป็นต้องมาเรียนเสริมกันบ้าง แล้วก็แทบจะไม่มีที่ไหนเปิดสอนระดับสูงแบบN2ได้นอกจากที่เจเอฟแห่งนี้

ส่วนอีก20%ที่เหลือจะเป็นคอร์สสำหรับN4 เนื่องจากในระดับนี้ แกรมม่าและคำศัพท์ในคลังสมองเรา มักจะยังมีไม่มากพอจะเอาไปใช้งานได้อย่างจริงจัง หลายๆคนจึงยังเรียนอยู่ในระบบตามสถาบันต่างๆ หรืออาจจะเริ่มเข้าสู่เส้นทางการเรียนด้วยตนเอง คอร์สที่เสริมทักษะด้านใดด้านหนึ่งในระดับนี้จึงน่าจะเหมาะสำหรับผู้ที่เรียนด้วยตัวเองแล้วมาเสริมส่วนที่ขาดมากกว่า ถ้ามาเรียนหวังเอาผ่านN3จากที่นี่อย่างเดียวล้วนๆ บอกได้เลยว่าเป็นไปได้ยาก

ส่วนระดับN5น้องใหม่ที่เพิ่งเปิด เป็นคอร์สmarugoto เน้น ฟัง พูด อ่าน เขียน เป็นคอร์สที่ไม่เคยเรียน เลยไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นไง แต่ตำราดูน่าเรียนมาก

ค่าเรียน
ถูกที่สุดในประเทศไทย ณ ปัจจุบัน กับระดับการสอนคุณภาพสูงขนาดนี้ ได้ยินมาว่าค่าตัวอาจารย์แต่ละคนที่สอนที่นี่ต่อชั่วโมงสูงกว่าค่าตัวอาจารย์(น่าจะเกือบ)ทุกสถาบัน แต่เนื่องจากว่าที่เจเอฟมีรัฐบาลญี่ปุ่นเป็นสปอนเซอร์ให้ ทำให้นักเรียนทุกคนที่ได้มีโอกาสมาเรียนที่นี่จ่ายค่าเรียน(ค่าตัวอาจารย์)แค่เพียงส่วนเดียว ที่เหลือรัฐบาลญี่ปุ่นออกให้ จึงได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ฮ่าๆๆ ฟังดูเท่อ่ะ แบบว่านักเรียนทุนนะ มีสมองไรแบบนี้ แต่จริงๆก็ไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้น กร๊ากๆ

อาจารย์ผู้สอน
คือแบบว่าเคยได้ยินมาว่ามีอาจารย์ที่สอนอยู่ที่นี่คนนึงสอบได้N1แบบเต็มทุกพาร์ทอ่ะ สุดยอดอ่ะ ทำได้ไง(วะ) แต่ส่วนตัวไม่เคยเรียนกับอาจารย์ท่านนี้นะ เคยเรียนกับอาจารย์คนอื่น แต่เท่าที่เรียนมา ก็คิดว่าอาจารย์มีวิธีสอนที่สนุก ไม่น่าเบื่อ และทำให้เราเข้าใจได้ง่าย ที่สำคัญอาจารย์น่ารักและใจดีมาก ทุกคนเลย แถมบางคลาสมีกิจกรรมเสริมสนุกๆหลายอย่าง เช่น การเขียนพู่กันจีน การเขียนสคส.ปีใหม่ การแต่งกลอนเซนริว แม้จะมีเวลาน้อยมาก(เรียนชั่วโมงครึ่ง) แต่ก็มีแทรกวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบมินิให้ ถูกใจสุดๆ เพราะโรงเรียนอื่นที่เรียนมาไม่มีแบบนี้เลย ที่สสท.จริงๆเวลาเรียนมีล้นเหลือมากในแต่ละวัน น่าจะมีจัดกิจกรรมเหล่านี้บ้าง

การเรียนและการสอบ
ปกติการเรียนในห้อง จะมีการสอบเก็บคะแนนย่อยเรื่อยๆ ซึ่งแล้วแต่อาจารย์ผู้สอนจะใช้วิธีแบบไหนและวันไหน แต่ส่วนใหญ่อ.จะบอกล่วงหน้า แล้วก็จะมีสอบเก็บคะแนนกลางภาคและปลายภาคตามแต่อ.แต่ละคนจะแจ้งว่าจะเป็นวันไหน แต่วันเรียนวันสุดท้ายมักเป็นสอบปลายภาคแน่นอน ก็คือถ้าเรามาเรียนสม่ำเสมอ คอยทำการบ้านส่งและทบทวนตลอด ก็สอบผ่านแน่นอน อาจารย์ไม่กดคะแนนเลย แต่ที่สำคัญคืออย่าขาดเรียนมากเกิน ถ้าจำไม่ผิดถ้าขาดเรียนเกิน50%สอบได้คะแนนสูงแค่ไหนก็ไม่ผ่านอยู่ดี เพราะที่นี่เค้าเน้นนักเรียนที่ตั้งใจมาเรียนจริงๆ ไม่ใช่มาลงเรียนขำๆ

สรุป
เป็นอีกที่หนึ่งที่เหมาะสำหรับผู้ที่เรียนอยู่ในระดับสูงๆ ตั้งแต่N3เป็นต้นไป เพราะมันแทบจะไม่มีที่ไหนสามารถเปิดคอร์สในระดับแบบนี้ได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะหากผ่านN2มาแล้วคงต้องมาเรียนที่นี่อย่างเดียวแบบไม่มีทางเลือกอื่นเลยยกเว้นเรียนตัวต่อตัว แต่คอร์สที่นี่ไม่ได้เป็นคอร์สเรียนต่อเนื่องยาวๆแบบเรียน2ปีจากN3มาจบN2อะไรแบบนั้น ฉะนั้นผู้เรียนควรเป็นผู้ไฝ่รู้เรียนด้วยตัวเองอยู่แล้ว (ไม่ใช่เอาชีวิตมาฝากไว้กับอาจารย์) แล้วมาเสริมทักษะที่ขาดที่นี่ ส่วนที่เป็นข้อเสียของที่นี่คือเปิดแค่ปีละ2เทอม น่าจะปรับเป็น3เทอม จะได้มีให้เรียนตลอด ไม่ต้องหยุดนานเป็นเดือนๆ

No comments:

Post a Comment